สามก๊กโจโฉแตกทัพเรือ-03

การใช้คนของซุนกวน (5)

ซุนกวนบริหารคน
ซุนกวนบริหารคน

การใช้คนของซุนกวน (5)

3).การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร

ความสำเร็จของซุนกวนในการสถาปนาอาณาจักรง่อก๊กคือการบริหารบุคลากรและสามารถ ดึงศักยภาพของบุคลากรเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบเช่นการ ให้ความรู้เพื่อพัฒนาทักษะ การเปิดโอกาสให้แสดงศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นกำเหลง ลิบอง ลกซุน จิวท่าย ฯลฯ ขุนพลเหล่านี้ถือว่าเป็นยอดคนระดับแนวหน้าที่ได้รับการพัฒนาขีดความสามารถ โดยการเปิดโอกาสให้แสดงฝีไม้ลายมือจนสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน

สำหรับลิบองซึ่งเดิมเป็นแค่ทหารเลว ที่ซุนเซ็กมองเห็นแววเพราะทุกครั้งที่ลิบองออกศึกเขาจะวิ่งนำหน้าไพร่พลคน อื่นและสามารถสร้างความดีความชอบในทุกศึกด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซุนเซ็กเลื่อน ขั้นลิบองให้เป็นนายกอง

โลซกเคยสบประมาทว่าลิบองยากที่จะพัฒนาตนเองได้เนื่องจากเขามาจากครอบครัวที่ ยากจน ทำให้การศึกษาต่ำ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ การที่โลซกสบประมาทจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่สำหรับซุนกวนกลับมองว่าหาก เจียรไนยเพชรเม็ดงามที่ชื่อลิบอง ได้สำเร็จง่อก๊กก็จะมียอดคนเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนและสิ่งที่จะเจียรไนยคนด้อย การศึกษาอย่างลิบองก็คือการอ่าน

ซุนกวนแนะนำให้ลิบองอ่านหนังสือพิชัยสงครามของซุนหวู่, ชุนชิว แต่ลิบองก็อ้างว่าตนทำงานเหนื่อยจะเอาเวลาจากไหนมาศึกษาเพิ่มเติม ซุนกวนจึงถามกลับไปว่าเจ้าคิดว่างานของเจ้ากับของข้าใครมากกว่ากัน ลิบองจึงตอบไปว่างานของท่านย่อมมากกว่าข้าพเจ้า ซุนกวนจึงบอกว่ารู้เช่นนั้นก็ดีแต่เราก็ยังมีเวลาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ลิบองได้ฟังเช่นนั้นจึงพยายามศึกษาเล่าเรียนใหม่ จากนั้นมาลิบองกลายนักรบที่ตำราไม่เคยห่างกาย การศึกษาทำให้เขาเป็นยอดนักรบที่ชำนาญทั้งการศึกและวิชาการ

เมื่อโลซกมาพบกับลิบองและได้สนทนาพูดคุยก็ทำให้รู้ว่าลิบองคนนี้ไม่ใช่คน เดิม ก่อนโลซกจะเสียชีวิตจึงบอกกับซุนกวนให้แต่งตั้งลิบองขึ้นมาดูแลกองทัพกัง ตั๋งแทนตนซึ่งซุนกวนก็ยินดีปฎิบัติตาม

ด้วยชื่อเสียงความเก่งกล้าและเจ้าปัญญาของลิบอง ทำให้กวนอูซึ่งอยู่เกงจิ๋วค่อนข้างจะหวาดระแวงลิบองซึ่งอยู่ที่เมืองกังแฮ เป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ข่าวว่าลิบองป่วยและถูกย้ายเข้ามารักษาตัวที่กังตั๋งจึงทำให้กวนอู ลดความหวาดระแวง ลิบองจึงร่วมมือกับลกซุนในการเข้ายึดเมืองเกงจิ๋วอย่างง่ายดายในระหว่างที่ กวนอูทำศึกติดพันกับเมืองอ้วนเซีย ที่สำคัญยังสามารถจับเป็นกวนอูได้อย่างน่าทึ่ง

สิ่งเหล่านี้คือผลงานชิ้นใหญ่ที่จิวยี่และโลซกต่างก็ไม่เคยทำสำเร็จ การสนับสนุนการศึกษาและให้โอกาสพิสูจน์ความสามารถในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่นับ เป็นวิสัยทัศน์ของซุนกวน

ส่วนชีเซ่งก็เป็นขุนศึกที่มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพที่แท้ จริงเนื่องจากไม่มีโอกาส จนกระทั่งพระเจ้าโจผีดำริจะยกกองทัพไปยึดเมืองกังตั๋งจึงเคลื่อนทัพ 40 หมื่นลงใต้เพื่อทำศึกกับง่อก๊กโดยไปทางปากน้ำซิวฉุนแล้วจึงยกเข้าตีเมืองน้ำ ฉี จากนั้นจึงบุกยึดเมืองกังตั๋ง สร้างความกดดันให้กับที่ประชุมขุนนางเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากแม่ทัพผู้มี ฝีมือได้ล้มตายไปเมื่อคราวทำศึกยุทธการอิเหลงกับพระเจ้าเล่าปี่

โกะหยงที่ปรึกษาอาวุโสของซุนกวนเสนอว่าทางหนึ่งควรยกกองทัพไปสกัดที่เมือง น้ำฉีและอีกทางหนึ่งควรส่งหนังสือขอความช่วยเหลือจากขงเบ้งให้ยกทัพเข้าตี ทัพพระเจ้าโจผี พระเจ้าซุนกวนเห็นชอบกับความคิดนี้จึงโปรดเกล้าให้ลกซุน เจ้าเมืองเกงจิ๋วยกทัพไปสกัดกองทัพพระเจ้าโจผี

ทว่าโกะหยงกลับคัดค้านโดยให้เหตุผลว่าลกซุนเป็นแม่ทัพคนสำคัญก็จริงแต่เขา ต้องดูแลเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นเมืองสำคัญ ถ้าแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพเกรงว่าพวกวุยก๊กจะยกกองทัพมารุกรานเกงจิ๋ว ควรที่จะคัดเลือกแม่ทัพในที่ประชุมนี้ ซุนกวนเห็นด้วยแต่กลับไม่มีใครเสนอตัวอาสารับศึกนี้

ชีเซ่ง จึงทูลต่อพระเจ้าซุนกวนว่า “ข้าพเจ้าขออาสานำทัพไปตั้งที่เมืองน้ำฉี แม้พระเจ้าโจผียกทัพมาก็จะจับตัวมาถวายให้ได้” ซุนกวนได้ฟังเช่นนั้นจึงกล่าวว่า “ถ้าเป็นท่าน เราย่อมวางใจได้” จากนั้นจึงแต่งตั้งชีเซ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ออกทำศึกครั้งนี้

ชีเซ่ง นำกองทัพไปยังเมืองน้ำฉีตั้งค่ายอยู่คนละฟากกับกองทัพของพระเจ้าโจผีโดยสั่ง ให้ปักธงทิวตามแนวป่าด้านหลังค่ายเป็นจำนวนมากในขณะที่พระเจ้าโจผีกลับไม่ รู้ความเคลื่อนไหวของศัตรูเพราะชีเซ่งอาศัยชัยภูมิกำบังค่ายทัพเอาไว้จึงพระ เจ้าโจผีสั่งให้ทอดสมอลอยเรืออยู่กลางน้ำ

ตกดึกพระเจ้าโจผีก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากยิ่งขึ้นเพราะไม่รู้ว่าฝ่ายข้าศึก จะใช้อุบายอันใดภายใต้ความเงียบและความืดของค่ำคืนซึ่งก็เป็นตามที่ฮ่องเต้ แห่งวุยคาดการณ์เพราะชีเซ่งสั่งให้ทหารนำเอาหุ่นฟางแต่งตัวแบบทหาร ตลอดจนธงทิวมาวางเอาไว้ตลอดแนวแม่น้ำ

ยามเช้าหมอกลงจัดทำให้พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรไม่เห็นฝั่งตรงข้ามจนกระทั่ง เมื่อหมอกจางลงจึงตกพระทัยอย่างมากเนื่องจากไม่คิดว่ากองทัพกังตั๋งจะระดม ไพร่พลได้มากถึงเพียงนี้ทั้งธงทิวก็ปลิวไสว สง่างาม ทหารยามก็มีเป็นจำนวนมาก ทำให้พระองค์เริ่มลังเลพระทัยที่จะทำศึก ทันใดนั้นก็เกิดพายุใหญ่ บังเกิดคลื่นในน้ำจนเรือหลายลำถึงกับล่ม ทหารว่ายน้ำหนีตายชุลมุน

เหล่านายทหารวุยก๊กจึงเชิญเสด็จพระเจ้าโจผีขึ้นฝั่ง ทหารสอดแนมมารายงานว่าขณะนี้ขงเบ้งส่งจูล่งเป็นแม่ทัพบุกเมืองเตียงฮั่น เพื่อจะยึดราชธานีฮูโต๋ ฮ่องเต้แห่งวุยได้ยินข่าวนี้ถึงกับพระพักตร์เปลี่ยนสีตัดสินใจยกทัพกลับ ราชธานี ทว่าการไม่ได้ง่ายเหมือนตอนมาแล้วเนื่องจากระหว่างทางที่กองทัพวุยถอยทัพ กองทัพของซุนเสียวก็ถือโอกาสนี้บุกทะลวงตีทัพหลังทันที

เมื่อพระเจ้าโจผีทราบข่าวการถูกซุ่มโจมตีก็เร่งยกทัพหลวงหนีอย่างรวดเร็วแต่ ก็ไม่พ้นสายตาของเตงฮอง ขุนพลชำนาญศึกของง่อก๊ก เตงฮองสั่งกองทัพของตนยกทัพเข้าตีทัพหลวงของพระเจ้าโจผีอย่างรวดเร็วเกิน กว่าที่ใครจะตั้งตัว แต่โชคดีของพระเจ้าโจผีที่ในทัพหลวงมีแม่ทัพเตียวเลี้ยวอยู่ด้วย ทหารเสือแห่งวุยผู้นี้อาศัยความชำนาญศึกรบพุ่งป้องกันไม่ให้กองทัพง่อก๊ก เข้ามาอย่างสุดความสามารถ

เตงฮองเห็นเช่นนั้นจึงใช้ธนูยิงเตียวเลี้ยวทันทีในระหว่างชุลมุน ทว่าชะตายอดทหารเสือยังไม่สิ้นโชคดีที่ซิหลง ทหารเสืออีกผู้หนึ่งเห็นเข้าจึงรับนำตัวเตียวเลี้ยวออกจากสมรภูมิรบทว่า เตียวเลี้ยว แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ก็สิ้นสิ้นใจระหว่างทาง นับเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของวุยก๊กเพราะเตียวเลี้ยวคือยอดทหารเสือที่ ชาวกังตั๋งต่างครั่นครามถึงขนาดมีสำนวนที่ว่า “เอ่ยชื่อเตียวเลี้ยว แม้เด็กร้องไห้ก็ยังเงียบ”

ภายหลังจากศึกนี้ชื่อเสียงของชีเซ่งก็โด่งดังกลายเป็นยอดทหารเอกแห่งกังตั๋งที่ซุนกวนเชื่อมั่นในฝีมือการบัญชาการรบ

จบตอนที่ 5

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *