ซ้องกั๋ง ตอน ลูตีซิม หลวงจีนจอมสุรา (1) ลูตีซิม ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในกระบวนพี่น้องกลุ่มโจรเขาเนียซัวเปาะนั้น เดิมชื่อ ลูตัด เป็นนายทหารรับราชการอยู่กับ เกงเลียดเซียงก๋ง เจ้าเมืองเอียนอันฮู้ เป็นผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ มีฝีมือเข้มแข็ง แต่ค่อนข้างโง่เขลาไม่มีสติปัญญา ในเวลานั้นได้โอนมารับราชการอยู่กับ เกงเลียดฮู้ บุตรของเกงเลียดเซียงก๋ง ผู้บัญชาการทหารเมืองอุยจิว ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
วันหนึ่งได้พบกับ ซือจิน ลูกชายของอดีตนายอำเภอซือเกซึงแขวงเมืองฮัวอิมกุ้ย มา ตามหาอาจารย์ชื่อ เฮงจิน ซึ่งเคยเป็นครูทหารอยู่ที่เมืองตังเกีย แต่ถูกเจ้านายกลั่นแกล้ง จึงต้องหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ ลูตัดก็แนะนำว่าเฮงจินไปอาศัยอยู่กับเกงเลียดเซียงก๋ง ที่เมืองเอียนอันฮู้ มิได้อยู่ที่เมืองอุยจิวนี้ ระหว่างที่ชวนกันไปหาที่นั่งคุยต่อก็ได้พบกับ ลีตง ครูอีกคนหนึ่งของซือจิน กำลังเร่ขายกอเอี๊ยะดำอยู่ จึงชักชวนกันไปเสพสุราอาหารที่ร้านในตลาด
ขณะที่กำลังคุยถูกคอในฐานะที่รู้เรื่องเพลงอาวุธยุทธวิธีพอกัน ลูตัดก็สนใจพ่อลูกที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งกำลังร้องไห้ปรับทุกข์กันอยู่ จึงเรียกเข้ามาซักถามความเป็นไป
หญิงสาวก็เล่าว่าตนผู้เป็นบุตรชื่อ ซุยเหลียน บิดาชื่อ กิมโล้ เดิมเป็นชาวตังเกียซึ่งเป็นเมืองหลวง สามคนพ่อแม่ลูกเดินทางมาหาญาติที่เมืองอุยจิว แต่ไม่เจอเพราะเขาย้ายไปอยู่เมืองนำเกียเสียแล้ว ก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้ มารดาได้ป่วยตายลง เหลือแต่เพียงสองคนพ่อลูก ไม่มีเงินทองเลี้ยงชีวิต จึงได้รู้จักกับ แต้โต๋ว พ่อค้าขายหมูมั่งมีเงินทองรับจะอุปการะ โดยให้ซุยเหลียนไปเป็นภรรยาน้อยจะให้สินสอดสามพันตำลึง บิดาก็ยินยอม แต่ไปอยู่กินเป็นภรรยาถึงสองเดือนเศษแล้ว บิดาก็ยังไม่ได้ รับเงินที่ว่านั้น และตัวภรรยาหลวงก็กดขี่ข่มเหง เฆี่ยนตีให้เอาเงินสามพันตำลึงมาคืนอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับมา เงินที่จะหาซื้ออาหารเลี้ยงชีวิต ให้ตลอดเช้าถึงเย็นก็ยังไม่มีเลย จึงต้องอาศัยร้องเพลง ขอทานไปตามโรงสุราต่าง ๆ เงินที่ได้ไปส่วนใหญ่ก็เป็นค่าเช่าโรงเตี๊ยม
และสองวันที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้ใดบริจาคเงินให้เลย ต้องอดหิวอยู่ทั้งพ่อลูก ทางโรงเตี๊ยมก็เร่งรัดจะเอาเงินค่าเช่าให้ได้ จึงร้องไห้ปรับทุกข์กันด้วยเหตุนี้
ลูตัดได้ฟังก็สงสารสองพ่อลูก จึงควักเงินออกมาจะช่วยเหลือ แต่บังเอิญมีอยู่เพียงห้าตำลึงเห็นว่าน้อยนัก จึงออกปากยืมเงินซือจินเพื่อนใหม่อีกสิบตำลึง ว่าพรุ่งนี้จะใช้คืนให้ แล้วก็มอบเงินสิบห้าตำลึงให้สองพ่อลูก จัดหาเสบียงอาหารเดินทางต่อไปได้ตามสบาย ไม่ต้องเกรงกลัวภัยอันตรายจากผู้ใด แล้วทั้งสามก็แยกย้ายกันไป
โดยลูตัดก็รับรองกับเจ้าของโรงสุราว่า พรุ่งนี้จะนำเงินมาชำระค่าสุราอาหาร ที่กินกันในวันนี้เช่นกัน
พอรุ่งเช้าลูตัดก็ไปดูแลสองคนพ่อลูกให้ออกเดินทางไป แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมไม่ยอม ลูตัดถามว่าสองคนนี้ติดค้างเงินค่าเช่าค่ากินอยู่เท่าไร เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่าให้เรียบร้อยแล้ว ลูตัดถามว่าถ้าอย่างนั้นจะมาขัดขวางเขาไว้ทำไม เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่าแต้โต๋วสั่งให้ควบคุมตัวไว้จนกว่าจะได้เงินสามพัน ตำลึงคืน
ลูตัดก็รับอีกว่าจะใช้เงินจำนวนนั้นให้เอง เจ้าของโรงเตี๊ยมไม่เชื่อ ลูตัดก็ตบปากจนล้มคว่ำลงไป พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งเข้าไปหลบในโรงเตี๊ยม ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาอีกเลย
ลูตัดให้สองพ่อลูกออกเดินทางไป โดยตนเองคอยคุมเชิงอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมนั้น จน กิมโล้กับซุยเหลียนลับสายตาไปแล้ว จึงตรงไปที่ร้านขายหมูของแต้โต๋ว ใกล้สะพานจอหงวนเกี๋ย แต้โต๋วออกมาต้อนรับไต่ถามว่าต้องการอะไร
ลูตัดบอกว่าตัวนายทหารใหญ่ให้มาเอาเนื้อหมูสิบชั่ง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่ให้มีมันติดเลย แต้โต๋วก็สั่งลูกน้องให้จัดการ ลูตัดบอกไม่ได้เจ้าของต้องทำเอง แต้โต๋วจึงลงมือแล่หมูเอง พอเสร็จแล้วห่อส่งให้ ลูตัดก็ว่าเอามันหมูอีกสิบชั่งไม่ให้มีเนื้อติดเลยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เหมือนกัน แต้โต๋วชักจะยัวะขึ้นมาหน่อย ๆ แต่ก็ยอมทำให้ พอห่อเสร็จลูตัดก็บอกว่าเอากระดูกอ่อนอีกสิบชั่ง ไม่ให้ติดเนื้อติดมันเลย แต้โต๋วโกรธเต็มที่ด้วยรู้ว่าถูกแกล้ง
ลูตัดเลยเอาหัวหมูทุ่มหัวแต้โต๋วเข้าให้ แต้โต๋วก็เงื้อมีดหมูจะฟัน แต่ลูตัดคว้าข้อมือได้ลากออกมานอกร้าน แล้ว
ถีบคว่ำลงบนถนน ร้องตวาดว่า
“….เจ้าฆ่าหมูขายมั่งมีเงิน ก็ยกย่องตัวเองให้เรียกเป็นคุณเป็นท่าน เที่ยวข่มเหงกดขี่เอาบุตรสาวกิมโล้มาเป็นภรรยาน้อย เงินทองก็ไม่ให้เขา ภรรยาใหญ่ของเจ้าเฆี่ยนตีจนยับเยิน แล้วยังจะเอาตัวไปเร่งเงิน นางซุยเหลียน กับบิดาเขาเป็นหนี้เงินทองสิ่งใดของเจ้า เห็นว่าเขาพลัดบ้านเมืองมา ญาติพี่น้องไม่มีก็ข่มเหงเอาตามอำเภอใจ…..”
ว่าแล้วก็ถีบเข้าให้อีกทีหนึ่ง แต้โต๋วก็ร้องให้ชาวบ้านช่วย แต่ไม่มีใครกล้าช่วย รวมทั้งลูกจ้างทั้งหลายและเจ้าของโรงเตี๊ยม ที่วิ่งมาถึงเพื่อจะบอกเรื่องราวด้วย ลูตัดก็กระทืบซ้ำอย่างหนักเข้าให้อีกหลายที และสำทับว่าคอยดูพรุ่งนี้เช้าได้เห็นกัน แล้วก็เดินกลับบ้านไป
บุตรภรรยาของแต้โต๋ว ต่างช่วยกันแก้ไขเท่าไรก็ไม่ฟื้น เพราะแต้โต๋วขาดใจตายเสียแล้ว จึงไปร้องเรียนต่อเจ้าเมืองอุยจิว เจ้าเมืองก็นำความไปแจ้งต่อเกงเลียดฮู้ผู้บังคับบัญชาของลูตัด เกงเลียดฮู้ก็บ่ายเบี่ยงว่าให้จับตัวมาให้ได้ แล้วจะแจ้งไปยังบิดาของตนที่เมืองเอียนอันฮู้ก่อน จะได้ลงโทษตามกฎข้อบังคับต่อไป
เจ้าเมืองอุยจิวก็ให้เจ้าพนักงานนำทหารยี่สิบคนไปจับตัวลูตัดที่บ้าน แต่ไม่พบเพราะลูตัดได้หอบข้าวของ ออกเดินทางไปจากเมืองตั้งแต่ดึกแล้ว เจ้าเมืองจึงสั่งให้วาดรูปลูตัดตั้งสินบนนำจับเป็นเงินพันตำลึง ส่งไปทุกหัวเมืองใกล้เคียง
ฝ่ายลูตัดเดินทางออกจากเมืองอุยจิวรอนแรมมาได้เดือนเศษก็ถึงตำบล งันมึงกุ้ยแขวงเมืองใต้จิว ขณะที่เดินผ่านไปตามถนนเห็นร้านค้าขายของต่าง ๆ มากมาย มีผู้คนยืนมุงดูอะไรเป็นหมู่ก็เข้าไปดูบ้าง แต่ตนเองอ่านหนังสือไม่ออก
มีชายคนหนึ่งอ่านขึ้นดัง ๆ ว่า มีประกาศจับลูตัดนายทหารเมืองอุยจิวค่าตัวพันตำลึง
ลูตัดก็สะดุ้งรีบเดินหนีออกมา จนเจอกับกิมโล้ ซึ่งเข้ามากอดด้วยความดีใจ และจูงมือออกไปให้พ้นผู้คน แล้วบอกว่าช่างกล้าหาญนัก เจ้าเมืองใต้จิวปิดประกาศจะจับตัวท่านส่งให้เมืองอุยจิว ซึ่งท่านมีคุณยิ่งนั้นไม่เคยลืมเลย ลูตัดก็ถามว่าจะพาบุตรสาวกลับไปเมืองตังเกีย แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่เล่า
กิมโล้บอกว่าบังเอิญมาเจอพวกพ้องอยู่ที่เมืองนี้ เลยได้พักอาศัยกับเขา และเพื่อนคนนี้ก็ชักนำบุตรสาวให้มีผัวเป็นเศรษฐีชื่อ เตียอวนเงย จึงได้ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองนี้เสียเลย
ลูตัดก็แสดงความยินดีด้วย ที่มีความสุขสบายดีแล้ว ส่วนตนเองนั้นไปตีแต้โต๋วถึงตาย จึงต้องหลบหนีคดีอาญามา กิมโล้ก็ชวนไปที่บ้านและแนะนำให้รู้จักกับเศรษฐีเตียอวนเงย ว่าเป็นผู้มีพระคุณ ได้ช่วยเหลือตามที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว
เตียอวนเงยคำนับแล้วว่า มีคุณแก่บิดาภรรยาก็เหมือนมีคุณแก่ตน จึงจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูอย่างดีและให้ลูตัดค้างอยู่ที่บ้าน
พอรุ่งเช้าเตียอวนเงยก็พาลูตัดไปที่บ้านใหญ่ตำบลชิดโปชวน แนะนำให้ภรรยาหลวงคำนับรู้จักกันไว้ ลูตัดจึงได้พักอยู่ที่บ้านนี้อีกเจ็ดแปดวัน กิมโล้ก็มาบอกว่ามีคนรู้ว่าลูตัดมาพักอยู่เมืองนี้ อาจมีคนมาจับตัวได้ เตียอวนเงยจึงรีบหาช่องทางที่จะช่วยไม่ให้ลูตัดถูกจับกุม โดยนำไปฝากไว้ที่วัดเขาเงาไทซัว ซึ่งปู่และบิดาของเตียอวนเงย ได้สร้างไว้แต่โบราณ เป็นวัดใหญ่มีหลวงจีนร่วมเจ็ดแปดร้อยองค์
เตียอวนเงยก็ขอร้องให้ หลวงจีนตีจิน เจ้าอาวาสบวชให้ลูตัด โดยจะรับอุปถัมภ์เงินทองทุกอย่าง
เจ้าอาวาสนึกรู้ว่าน่าจะเป็นคนต้องคดีหลบหนีมา แต่เกรงใจเศรษฐีผู้อุปถัมภ์วัดมาถึงสามชั่วคน จึงยอมรับบวชให้แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า ลูตีซิม กฎหมายของเมืองจีนในสมัยนั้น คนที่ต้องโทษถึงตายถ้าหนีไปบวชได้ ก็เป็นอันพ้นโทษพ้นภัยทั้งสิ้น
หลวงจีนลูตีซิมจึงอยู่ถือศีลกินเจ ศึกษาพระธรรมคำสอนจากเจ้าอาวาส อย่างสุขสบายไม่เดือดร้อนต่อไป
ครั้นอยู่วัดมาได้ห้าเดือนเศษ หลวงจีนลูตีซิมก็ไม่ค่อยจะกินเส้นกับหลวงจีนองค์อื่น ๆ นัก เพราะถูกกล่าวหาว่า ดีแต่กินแล้วก็นอนไม่ค่อยท่องบ่นสวดมนต์ เหมือนอย่างหลวงจีนทั้งหลาย แต่ลูตีซิมก็ไม่ฟังเสียงมีการทุ่มเถียงทะเลาะกันอยู่เสมอ พอหลวงจีนพากันไปฟ้องเจ้าอาวาส ก็เข้าข้างลูตีซิมเพราะเกรงใจเศรษฐีเตียอวนเงย ลูตีซิมเลยไม่ยอมเกรงกลัวผู้ใดในวัด
วันหนึ่งมีคนขายสุรามาหยุดพักหาบอยู่หน้าวัด ลูตีซิมซึ่งอดอยากปากแห้งมานานก็จะขอซื้อสุรา ผู้ขายบอกว่าที่วัดนี้เจ้าอาวาสห้ามไม่ให้หลวงจีนเสพสุรา ขายได้แต่ชาวบ้านเท่านั้น ลูตีซิมเคี่ยวเข็นจะเอาให้ได้ คนขายก็ยกหาบวิ่งหนี
ลูตีซิมตามไปยึดไม้คานไว้และถีบล้มคะมำไป จากนั้นก็เปิดถังสุราออกกินจนหมดถัง แล้วให้ไปเอาเงินที่วัดในวันพรุ่งนี้ คนขายกลัวเจ้าอาวาสจะโกรธ รีบยกหาบใส่บ่าหนีไปโดยไม่เอาเรื่องด้วย
ลูตีซิมชักเมาก็เดินเข้าไปในวัด ศิษย์ที่รักษาประตูห้ามว่าอย่าเข้าไปเลย เจ้าอาวาสประกาศไว้ไม่ให้หลวงจีนเสพสุรา ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกเฆี่ยนสี่สิบที แล้วไล่ออกจากวัด ลูตีซิมไม่ฟังจะเข้าไปให้ได้ คนเฝ้าประตูจึงไปตามศิษย์อื่น ๆ ถือกระบองมาห้าม เห็นไม่เชื่อฟังก็รุมกันตี
ลูตีซิม แย่งกระบองมาต่อสู้ ตีเอาเด็กวัดเจ็บป่วยไปหลายคน ต่างก็พากันไปฟ้องเจ้าอาวาส แต่เมื่อเห็นลูตีซิมเมามากพูดด้วยก็คงไม่รู้เรื่อง เจ้าอาวาสจึงให้ช่วยกันพยุงไปนอนเสีย ลูกศิษย์ทั้งหลายจึงคิดว่าหลวงจีนเจ้าอาวาสเกรงใจเศรษฐีผู้อุปถัมภ์วัด จนเสียระเบียบของวัดหมด
พอรุ่งเช้าเจ้าอาวาสเรียกลูตีซิมมาอบรมว่า เมื่อมาบวชก็สั่งสอนให้เล่าเรียนถือศีลแปด เหตุไฉนจึงไปเสพสุราเมามาทุบตีศิษย์วัดให้เจ็บป่วย แต่เพราะเห็นแก่เตียอวนเงย จึงยังไม่ไล่ออกจากวัด ลูตีซิมรับสารภาพว่าผิดไปแล้ว อย่าถือโทษเลย ตั้งแต่นี้สืบต่อไป จะไม่ทำเช่นนี้อีก
อาจารย์จึงภาคทัณฑ์ไว้ว่า ถ้าคราวหน้าขืนเสพสุราอีก จะไล่ออกจากวัดโดยไม่มีข้อแม้
ลูตีซิมอยู่ในวัดโดยประพฤติตัวเรียบร้อยมาได้อีกห้าเดือนเศษ ก็ออกไปเดินเล่นนอกวัด ผ่านตลาดก็เที่ยวหาโรงตีเหล็กจนเจอ เข้าไปถามว่ามีเหล็กอย่างดีหรือไม่ ช่างถามว่าจะให้ทำสิ่งใดหรือ ลูตีซิมก็ว่าจ้างให้ทำง้าวเล่มหนึ่งกับไม้เท้าอันหนึ่ง ไม้เท้านั้นจะให้หนักเท่าใดก็ได้ แต่ง้าวนั้นให้หนักร้อยชั่ง ช่างจึงแย้งว่า
“……ร้อยชั่งนั้นหนักนัก กลัวว่าท่านจะใช้ไม่ได้ แต่ กวนก๋ง ครั้งแผ่นดินสามก๊ก ก็ใช้ง้าวหนักแปดสิบเอ็ดชั่งเท่านั้น…..”
ลูตีซิมก็ย้อนว่า
“……กวนก๋งกับเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ใช้ง้าวหนักร้อยชั่งไม่ได้หรือ…..”
ช่างเหล็กกลัวว่าจะยกไม่ไหว ต่อรองให้เหลือห้าสิบชั่ง ลูตีซิมก็ยืนยันให้ทำง้าวหนักเท่ากับง้าวประจำตัวของ กวนอู ทหารเสือสมัยสามก๊กให้ได้ ส่วนไม้เท้านั้นหนักหกสิบชั่งก็พอ ช่างคิดราคาแค่ห้าตำลึง ลูตีซิมก็ตกลง
ออกจากร้านช่างเหล็ก ลูตีซิมก็เที่ยวเดินหาร้านสุราด้วยความอยาก แต่ไม่มีใครขายให้เช่นเคย จึงออกมาถึงท้ายตลาด แล้วอ้างว่าเดินทางมาจากเมืองอื่น จึงมีคนยอมขาย ลูตีซิมเข้าไปนั่งในร้านกินสุราไปหลายสิบชาม แกล้มเนื้อสุนัขต้มเปื่อยหมดไปสองตัว จึงคิดเงินแล้วเดินโซเซกลับมานั่งพักที่ศาลาหน้าวัด
นึกคึกขึ้นมาจึงลุกขึ้นรำท่าเพลงอาวุธต่าง ๆ ที่ไม่ได้ฝึกซ้อมมานาน ยิ่งเมายิ่งออกฤทธิ์มาก ผลักเอาเสาค้ำหลังคาหักพังลง ศิษย์ในวัดออกมาดูเห็นหลวงจีนขี้เมาเจ้าเก่าก็ปิดประตูวัดเสีย
ลูตีซิมเห็นตุ๊กตาจีนก่อด้วยอิฐปูน ถือกระบองยืนอยู่หน้าประตู ก็ฉวยไม้มาตีจนแตกหักไปอีกสองตัว แล้วประกาศว่า ถ้าไม่เปิดประตูจะเอาไฟเผาวัดเสีย ลูกศิษย์จึงต้องยอมเปิดประตูให้เข้า
ลูตีซิมเดินเข้าไปในโบสถ์ ด้วยความเมาก็ชนเครื่องบูชาหน้าพระพุทธรูป แตกหักเสียหายหมด ศิษย์วัดรวบรวมกำลังได้ถึงสามร้อยคน ถืออาวุธเข้ากลุ้มรุมจะจับตัว ลูตีซิมก็ฉวยขาโต๊ะบูชาพระกวัดแกว่ง สู้รบกับศิษย์วัดจนแตกกระจายไปหมด
จนรู้ถึงหลวงจีนตีจินเจ้าอาวาส ต้องเข้ามาระงับเหตุ ลูตีซิมจึงวางขาโต๊ะลงคุกเข่าคำนับอาจารย์
คราวนี้เจ้าอาวาสไม่ยกโทษให้ ได้เขียนหนังสือไปแจ้งให้เตียอวนเงยรู้เรื่อง ท่านเศรษฐีก็รับว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น และที่จะขับไล่ลูตีซิมออกจากวัดก็ไม่ขัดข้อง เจ้าอาวาสจึงบอกว่า
“…..เจ้าทำวุ่นวายขึ้นหลายครั้ง ข้าวของหักพังเสียไปมาก ศิษย์ทั้งปวงเขาแค้นเคืองนัก เจ้าอยู่ที่นี่เห็นจะไม่ได้ เรายังมีศิษย์อีกคนหนึ่ง ไปเป็นอาจารย์อยู่วัดไต้เสียงก๊กยี่ ที่เมืองหลวงตังเกีย ชื่อ หลวงจีนเชงเซียนซือ เราจะมีหนังสือให้เจ้าไปอาศัยอยู่กับเขา…..”
ลูตีซิมว่าแล้วแต่ท่านจะเมตตา เจ้าอาวาสก็ให้หนังสือแนะนำตัว และให้เงินไว้สิบตำลึง เพื่อใช้จ่ายในการเดินทาง หลวงจีนลูตีซิม ก็คำนับรับหนังสือกับเงิน ออกจากวัดเขาเงาไทซัวไปเอาไม้เท้ากับง้าวที่ตลาด แล้วก็แบกอาวุธประจำกายเดินทาง ดั้นด้นไปเมืองตังเกีย ตามกรรมของตนโดยไม่รู้อนาคต.