ซ้องกั๋ง ตอน ลูตีซิม หลวงจีนจอมสุรา (2) ลูตัด ในเพศของ หลวงจีนลูตีซิม ซึ่งถูกสมภารขอร้อง ให้ออกจากวัดเขาเงาไทซัวแขวงเมืองใต้จิวเพราะละเมิดศีลข้อห้า ก็แบกง้าวห้อยห่อบริขารถือไม้เท้าเหล็ก ดุ่มเดินทางไปอย่างโดดเดี่ยว ประมาณครึ่งเดือนเศษ โดยไม่ยอมแวะเข้าพักอาศัยตามวัดที่ได้ผ่านมา คงเลือกพักอยู่ตามโรงเตี๊ยมที่พบเจอในเวลาเย็นค่ำเท่านั้น
จนวันหนึ่งเดินชมป่าเขาลำเนาไพรเพลินไปจนเกือบค่ำ พ้นระยะทางที่จะมีโรงเตี๊ยม เข้าไปถึงหมู่บ้านกอฮวยชวน เห็นมีแสงไฟสว่างไสว ผู้คนคึกคักสับสน จึงเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ชายเจ้าของบ้านก็ออกมาถามว่าหลวงจีนจะเดินทางไปข้างไหน ลูตีซิมก็บอกว่าได้เดินทางมาไกลเกินระยะแล้ว จะขออาศัยพักนอนสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าจะลาไป เจ้าของบ้านก็ไม่ยินดีต้อนรับ เพราะกำลังมีเรื่องวุ่นวายอยู่
ลูตีซิมจะขอพักให้ได้ พอดีมีผู้เฒ่าเดินมาถามไถ่จนรู้เรื่องราวแล้ว ก็เชิญเข้าข้างในแล้วแนะนำตัวว่าชื่อ เล่าไทก๋ง หลวงจีนลูตีซิมจึงบอกชื่อแซ่ตนเองและวัดที่บวช เล่าไทก๋งก็ยินดีต้อนรับถามว่าฉันของสดคาวหรือฉันเจ
ลูตีซิมรีบบอกว่าของสดคาวและสุรานั้นเป็นของโปรดนัก เล่าไทก๋งก็สั่งจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูเต็มที่ และให้พักอาศัยค้างคืน แต่มีข้อแม้ว่าเวลาค่ำคืนนี้ใครเขาเอะอะอื้ออึงกันก็อย่าโผล่ออกมาดู ให้นอนอยู่แต่ในห้อง
ลูตีซิมสงสัยว่าเหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนั้น เล่าไทก๋งก็บอกว่าจะมีงานแต่งงานบุตรสาว แต่ด้วยความไม่เต็มใจ เพราะเจ้าบ่าวเป็นนายโจรอยู่ที่เขาถอฮวยซัว มีลิ่วล้อประมาณห้าหกร้อยคน วันหนึ่งมาปล้นที่ตำบลนี้ นายโจรที่สองเห็นบุตรสาวของเล่าไทก๋งก็ชอบใจ ขอแต่งงานด้วย โดยเอาทองหนักยี่สิบตำลึงกับแพรม้วนหนึ่งเป็นสินสอด ถ้าไม่ยอมก็จะฆ่าเสีย เล่าไทก๋ง จึงจำใจต้องยอมรับ
ลูตีซิมบอกว่าอย่าวิตกเลย ถ้านายโจรมาเข้าพิธีแต่งงาน ตนจะช่วยพูดจาว่ากล่าวให้เลิกงานนี้เสีย เล่าไทก๋งเกรงว่าพวกโจรดุร้ายใจทมิฬ จะทำอันตรายแก่หลวงจีน แต่ลูตีซิมก็ว่ามีวิชาจากอาจารย์ พอคุ้มตัวได้ไม่คิดกลัว ขอให้พาบุตรสาวไปแอบไว้ห้องอื่นก่อน จะขอรับหน้านายโจรเอง
เล่าไทก๋งก็คาดคั้นว่าอย่าพูดเล่น ถ้าพลาดพลั้งไปก็จะเป็นอันตรายกันไปหมดทั้งตระกูล ลูตีซิมจึงสัญญาว่าไม่เป็นไร ถึงแม้เสียทีก็จะพาครอบครัวเล่าไทก๋งหนีไปให้พ้นภัยเอง ว่าแล้วก็เข้าไปนอนอยู่ในมุ้งห้องเจ้าสาว เอาไม้เท้ากับง้าววางไว้ข้างเตียง เล่าไทก๋งก็พาบุตรสาวไปซ่อนตัวที่ห้องอื่น แล้วจึงให้บ่าวไพร่จัดการต้อนรับนายโจรให้เป็นปกติ
พอค่ำลงนายโจรที่สองก็ขี่ม้าพาไพร่พล ประโคมเครื่องดนตรีฆ้องกลองมาถึงบ้านเจ้าสาว เล่าไทก๋งออกไปคำนับต้อนรับ แล้วพาเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะบูชา ให้คนใช้จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงเจ้าบ่าวก่อน นายโจรกินอาหารพอเป็นพิธีแล้วก็ถามหาเจ้าสาวว่าอยู่ไหนไม่เห็นออกมา เล่าไทก๋งก็ว่าบุตรสาวเป็นคนขี้อายจึงแอบคอยอยู่แต่ในห้อง แล้วพาเจ้าบ่าวไปถึงห้องเจ้าสาว ส่วนตนเองรีบหลบหน้าไป
นายโจรเข้าไปในห้องแลเห็นไม่ชัดเพราะมืดไม่มีแสงไฟ จึงเดินคลำไปเปิดมุ้งเจ้าสาว ว่ายังไม่ทันไรหลับเสียแล้ว ไม่ออกไปคอยต้อนรับด้วย ลูตีซิมก็กอดเอาตัวนายโจรเข้าไว้ พอจะร้องก็ทุบพลั่กเข้าให้ นายโจรล้มลงหน้าเตียง ลูตีซิมกระโดดออกจากมุ้งเอาเท้าเหยียบหน้าอกไว้ ตะคอกว่า
“…เจ้ามาเที่ยวข่มเหงกดขี่เอาตามอำเภอใจ ถือดีอย่างไร ไม่กลัวความตายหรือ..”
นายโจรก็ร้องเรียกให้พรรคพวกช่วย ลูตีซิมก็ฉวยไม้เท้าเข้าสู้รบกับพวกโจร จนเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน รวมทั้งนายโจรด้วย ต้องล่าถอยไป โดยอาฆาตไว้ว่าคราวหน้าคงจะได้เห็นฝีมือกัน
เล่าไทก๋งตกใจจนตัวสั่นร้องว่าท่านมาทำกรรมให้ข้าพเจ้าแล้ว ลูตีซิมก็ปลอบว่าอย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย ตนเป็นนายทหารเก่าแอบมาบวชหนีคดีความอยู่ นายโจรจะยกพลมาสักเท่าไร ตนคนเดียวก็สู้ได้ ว่าแล้วก็เอาง้าวที่พวกคนใช้ยกไม่ขึ้น มารำเพลงอาวุธให้ดูฝีมือเป็นตัวอย่าง เล่าไทก๋งจึงค่อยคลายใจ ขอให้ช่วยชีวิตไว้ด้วย ลูตีซิมก็บอกว่า
“…..เราเมาสุรายิ่งมีกำลังมาก ท่านจงจัดสุรามากินให้เมา เราจะช่วยให้พ้นภัยจงได้…..”
เล่าไทก๋งจึงสั่งจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงหลวงจีน แล้วก็นั่งคอยพวกโจรอยู่
คืนนั้นเองนายโจรที่หนึ่งรู้เรื่อง ก็ให้นายโจรที่สองพักรักษาตัว แล้วก็คว้าทวนขึ้นม้าพาลิ่วล้อมาถึงบ้านของเล่าไทก๋ง ร้องถามหาหลวงจีนคนเก่งให้ออกมาลองฝีมือกัน ลูตีซิมก็ควงง้าวคู่มือเข้าฟาดกับนายโจรที่หนึ่งทันที
นายโจรรับไว้ได้ก็สงสัยว่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน จึงถามชื่อแซ่ หลวงจีนก็บอกความจริงให้ฟัง นายโจรกลับหัวเราะลงจากหลังม้า วางทวน เข้าไปคำนับ เรียกหลวงพี่จำน้องไม่ได้หรือ ลูตีซิมเพ่งพินิจดูหน้า แล้วจำได้ว่าคือ ลีตง ซึ่งเคยพบกันที่โรงเตี๊ยมเมืองอุยจิวนั่นเอง จึงชวนกันเข้าไปในบ้าน
เล่าไทก๋งก็ยิ่งตกใจที่หลวงจีนกลับเป็นพวกโจรไปเสียอีก คราวนี้คงจะแย่กว่าเก่า ลูตีซิมก็เรียกผู้เฒ่ามาบอกว่า อย่าวิตกไปเลยนายโจรนี้เป็นพวกพ้องกัน แล้วก็เล่าความหลัง ให้ลีตงฟังโดยละเอียด
ลีตงก็เล่าบ้างว่า เมื่อแยกกันที่โรงเตี๊ยมแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นได้ข่าวว่าแต้โต๋วถูกฆ่าตาย เจ้าเมืองอุยจิวกำลังให้ทหารเที่ยวจับตัวผู้ร้ายอยู่ ตนอยากจะปรึกษากับซือจิน แต่หาตัวไม่พบ จึงเก็บเครื่องยาที่ค้าขายใส่หีบหนีมา พอถึงเขาถอฮวยซัว จิวทอง นายโจรที่สองคุมพลดักเรียกค่าผ่านทาง จึงได้ต่อสู้กัน จิวทองสู้ไม่ได้จึงยกให้เป็นไต้อ๋องปกครองพวกโจรบนเขานี้ ลูตีซิมจึงว่า
“….เราจากกันมาช้านานหนักหนา และจิวทอง ซึ่งเป็นเซียวปาอ๋องนั้น พี่ไม่รู้จักจึงได้ทุบตี เจ้าจงไปห้ามเสีย อย่าให้วุ่นวายความเรื่อง บุตรสาวเล่าไทก๋งต่อไป ด้วยเล่าไทก๋งมีบุตรหญิงคนเดียว ตัวก็แก่แล้วหมายจะพึ่งบุตร เจ้ามาทำให้เขาได้ความเดือดร้อนนี้ไม่ควร…..”
เล่าไทก๋งก็ดีใจ รีบจัดโต๊ะมาเลี้ยงกันอีกรอบหนึ่ง แล้วเอาทองคำกับผ้าแพรของหมั้นมาคืนให้ลีตง ซึ่งลีตงก็รับว่าจะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย
พอรุ่งสว่างลีตงก็สั่งให้พวกโจรจัดเกี้ยวมารับลูตีซิมและเล่าไทก๋ง ขึ้นไปยังสำนักโจรบนเขาถอฮวยซัว แล้วให้จิวทองออกมาคำนับทำความรู้จักลูตีซิม พร้อมทั้งได้เล่าประวัติให้ฟัง
จิวทองก็สดุ้งคิดว่า ลูตัดคนนี้มีฝีมือเข้มแข็งชื่อเสียงก็ปรากฎ นี่หากว่าบุญของเราจึงได้รอดชีวิตอยู่ ถ้าหลวงจีนลูตีซิมตีเราตายจะว่ากล่าวกระไรได้ จึงคำนับขอโทษ ลูตีซิมรับคำนับแล้วบอกว่า
“…..เราไม่ใช่ผู้อื่น เหมือนพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ซึ่งความเรื่องเล่าไทก๋งนั้น เราขอเสียเถิด อย่าได้ไปวุ่นวายเลย…ซึ่งภรรยานั้นนานไปคงจะหาได้ เจ้าจะยอมหรือไม่ประการใด….”
จิวทองรับว่าจะไม่ไปรบกวนอีกแล้ว ลูตีซิมก็ย้ำว่า
“…..เกิดเป็นชายชาติทหาร พูดจาสิ่งใดออกไปแล้วอย่าได้กลับถ้อยคืนคำ….”
จิวทองจึงหยิบลูกเกาทัณฑ์มาหักเป็นสองท่อน สาบานว่าถ้าไม่ทำเหมือนปากพูด ให้ตัวขาดเป็นสองท่อนอย่างลูกเกาทัณฑ์นี้เถิด เล่าไทก๋งก็ดีใจคุกเข่าลงคำนับลูตีซิมและนายโจรทั้งสอง ขอลากลับบ้านไป ส่วนลูตีซิมคงค้างอยู่กับนายโจรบนเขา
ลูตีซิมพักอยู่กับนายโจรได้ประมาณสิบวัน ก็จะขอลาเดินทางต่อ ทั้งสองนายโจรขอร้องให้อยู่ ก็บอกว่าไม่ได้เพราะได้บวชเป็นหลวงจีนแล้ว ลีตงก็ว่าถ้าพรุ่งนี้ไปเที่ยวตีปล้นได้เงินทองมาแล้ว จะมอบให้เอาไปใช้สอยระหว่างเดินทางด้วย
ลูตีซิมก็คิดว่าสองคนนี้ใจแคบ เงินทองข้าวของมีมากมายไม่ให้ จำเพาะจะต้องไปปล้นได้จึงจะให้ แต่ก็ไม่พูดว่ากระไร
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งสองนายโจรเลี้ยงดูกันแล้วก็ออกไปทำงานเช่นเคย ทิ้งให้ลูตีซิมอยู่คนเดียว ก็คิดเคืองอยู่ในใจ จึงเรียกคนรับใช้สองคนมาจับมัด เอาผ้าจุกปากไว้ แล้วก็เอาเครื่องตั้งโต๊ะที่ทำด้วยเงิน หลายสิ่งหลายอย่าง มาทุบให้แบนแล้วใส่ห่อผ้า ออกจากสำนักโจรไปทางหลังเขาซึ่งเป็นผาชัน แล้วเอาห่อผ้ากับไม้เท้าผูกติดกัน กลิ้งลงไปก่อน แล้วจัดเครื่องแต่งตัวให้รัดกุมนั่งถัดลงไป จนถึงตีนเขาก็ฉวยห่อผ้ากับอาวุธคู่มือเดินทางต่อ โดยไม่สนใจว่าสองโจรจะเคียดแค้นหรือคิดอย่างไร
ลูตีซิมเดินทางต่อไปได้อีกสิบลี้เศษ ก็อ่อนระโหยโรยแรงลงด้วยความหิว บ้านเรือนผู้คนระหว่างทางก็ไม่มี พอดีได้ยินเสียงระฆังของวัด ก็เดินไปตามเสียงจนถึงวัดซึ่งเกือบจะร้าง มีหลวงจีนแก่ ๆ สี่ห้าองค์นั่งเจ่าจุกอยู่ ก็เข้าไปหาหวังจะอาศัยขออาหารกินบ้าง
หลวงจีนเหล่านั้นกลับบอกว่า ที่มาแอบอยู่นั้น ก็ด้วยความกลัว หลวงจีนซุยเตาเสง กับเตาหยินชื่อ คูเซียวอิด ซึ่งมายึดครองวัดนี้ทำเป็นสำนักโจร เที่ยวแย่งชิงเอาภรรยาและบุตรสาวของราษฎรชาวบ้าน มากักขังไว้ที่หลังวัด ผู้ใดไม่ยอมก็ฆ่าฟันตายหมด หลวงจีนที่วัดนี้ก็ถูกไล่ออกไปหมดสิ้น พวกที่เหลืออยู่นี้เป็นคนแก่ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปไหนจึงแอบซ่อนตัว ต้องอดข้าวมาตั้งสามวันแล้ว
ลูตีซิมว่าเหตุไฉนจึงไม่มีใครไปฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ให้จัดการ หลวงจีนชราก็บอกว่าไม่มีหัวหน้านำ และหนทางก็ไกล ทั้งทหารของหัวเมืองก็คงจะสู้ฝีมือหลวงจีน กับเตาหยินอันธพาลคู่นี้ไม่ได้
ลูตีซิมจึงเข้าไปถึงห้องข้างใน เห็นซุยเตาเสงกับคูเซียวอิดนั่งกินอาหาร อยู่กับหญิงสาวผู้หนึ่ง จึงถามไถ่เรื่องราวต่างๆ ที่หลวงจีนชราเล่าให้ฟัง ซุยเตาเสงก็แก้ตัวว่า หลวงจีนวัดนี้เป็นนักเลงเล่นการพนันเสพสุราทำความชั่วต่าง ๆ แล้วไล่สมภารเจ้าวัดไปเสีย เอาเงินทองของวัดมาใช้จนหมด ไร่นาของวัดก็ขายกินเกลี้ยง ตนเองเข้ามาจะช่วยบำรุงวัดให้เหมือนเดิม
ลูตีซิมก็ถามว่าแล้วหญิงสาวคนนี้คือใคร เหตุใดจึงมานั่งเสพสุราอยู่ด้วยกัน ซุยเตาเสงว่าหญิงนี้เป็นบุตรของ เฮงอิวกิม เป็นเศรษฐีให้เงินบำรุงวัดไว้มาก ต่อมายากจนลงแล้วตายไปญาติพี่น้องไม่มี สามีก็ป่วยหากินไม่ได้ต้องนอนอดข้าวอยู่ จึงมาขอยืมข้าวเอาไปต้มกิน ตนจึงเรียกให้อยู่กินโต๊ะกันก่อน แล้วจะให้ข้าวสารไปบ้าน
ลูตีซิมชักจะเชื่อถือ ต้องกลับออกมาถามหลวงจีนผู้เฒ่าทั้งห้าใหม่ พวกหลวงจีนเหล่านั้นก็ยืนยันตามเดิม ลูตีซิมจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เจอใครประตูห้องก็ปิด จึงถีบประตูพังบุกเข้าไป ซุยเตาเสงกับคูเซียวอิดก็จับอาวุธ เข้าสู้รบกับลูตีซิมได้สิบเพลง ลูตีซิมหิวข้าวหมดแรง จึงต้องถอยออกจากวัดไป
ครั้นออกมาไกลแล้วก็นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยความอ่อนเพลีย นึกได้ว่าลืม ห่อผ้าข้าวของทิ้งไว้ในวัดคิดจะกลับเข้าไปเอาก็กลัวโดนอันธพาลรุมอีก ครั้นจะเดินทางไปตัวเปล่าก็ไม่มีเงินทองจะซื้อกินตามทาง ลุกขึ้นเดินคิดกลับไปกลับมา ก็เห็นชายผู้หนึ่งซุ่มอยู่โคนต้นไม้ ถุยน้ำลายใส่แล้วก็เดินหนีไปให้ตาม
ลูตีซิมกะว่าจะตามไปแย่งชิงเอาเข้าของเสื้อผ้าไปแลกสุราอาหารกิน จึงเดินตามไป
แต่เมื่อชายคนนั้นหันกลับมาสู้ถึงสามสิบเพลง ก็ยังเอาชนะไม่ได้ กลับร้องถามชื่อแซ่ ลูตีซิมชักยัวะบอกให้รบกันไปถึงสองร้อยเพลงก่อนจึงค่อยรู้ แล้วก็ฟาดฟันกันต่อไปอีกยี่สิบเพลงจนหมดแรงชายคนนั้นก็ขอพักรบ
ลูตีซิมจึงบอกว่าเดิมชื่อลูตัด แต่บัดนี้บวชเป็นหลวงจีนเปลี่ยนชื่อเป็นลูตีซิม ชายคนนั้นก็วางกระบี่คำนับว่า ท่านจำ ซือจิน ไม่ได้หรือ ลูตีซิมก็ระลึกได้ว่าเคยสนทนาปราศรัยกันที่เมืองอุยจิว พร้อมกับลีตงซึ่งเดิมเคยเป็นครูของซือจินมาก่อน
ซือจินก็เล่าว่าพอรู้เรื่องที่แต้โต๋วตายก็หนีออกจากเมืองไปหาอาจารย์ เฮงจิน ที่เมืองเอียนอันฮู้ก็ไม่พบ จึงกลับมาอยู่ที่เมืองปักเกีย ไม่ช้านานเงินทองก็หมด ต้องท่องเที่ยวอยู่ในป่าหากินจี้ปล้นไปวัน ๆ
ลูตีซิมก็เล่าเรื่องตั้งแต่หนีออกจากเมืองอุยจิว จนได้บวชแล้วถูกขับออกจากวัด มาเจอซุยเตาเสงและคูเซียวอิดในวันนี้ แต่สู้ไม่ได้เพราะหมดแรงข้าวต้ม
ซือจินจึงแบ่งอาหารให้กินพอประทังชีวิต แล้วก็ชวนกันย้อนกลับไปที่วัดของอันธพาลทั้งสองอีกครั้ง
คราวนี้ลูตีซิมกับซือจิน ช่วยกันปราบซุยเตาเสงและคูเซียวอิด จนนอนเป็นศพไปทั้งคู่ แล้วก็คิดจะช่วยผู้ที่ถูกรังแกให้หลุดพ้นไป แต่ก็ผิดหวังเพราะหลวงจีนชราเหล่านั้น เมื่อเห็นว่าลูตีซิมพ่ายแพ้ไปในครั้งแรก กลัวจะถูกทำร้ายเลยผูกคอตายหมดทั้งห้าองค์ ครั้นเข้าไปดูหลังวัดที่กักขังลูกเมียของชาวบ้าน ก็ปรากฎว่าบ้างก็ผูกคอตายบ้างก็โดดบ่อตายไม่มีเหลือเลย
ทั้งสองค้นดูทุกห้องก็ไม่มีผู้คน เหลือแต่ห่อผ้าวางอยู่บนโต๊ะสามห่อ แก้ออกดูเห็นมีเงินทองข้าวของอย่างดี จึงแบ่งกันไป แล้วหาอาหารสุรามากินกันเป็นที่อิ่มหนำสำราญ สุดท้ายปรึกษากันว่า วัดนี้ร้างแล้วไม่มีผู้ดูแลรักษา ทิ้งไว้ก็จะเป็นที่อาศัยของโจรผู้ร้ายต่อไป จึงจัดการเผาเสียวอดไปสิ้น แล้วก็ร่ำลาแยกกันไปคนละทาง
ซือจินนั้นขอกลับไปอาศัยโจรที่เคยเป็นเพื่อนกันที่เขาเซียวฮัวซัว ลูตีซิมก็จะเดินทางต่อไปจนกว่าจะถึงวัดใต้เซียงก๊กยี่ ที่เมืองตังเกีย ถ้ามีเหตุการณ์สิ่งใดก็ให้ติดต่อส่งข่าวแก่กันได้.