เปาบุ้นจิ้น

เปาบุ้นจิ้น ตอน เต่าแสนรู้

เปาบุ้นจิ้น
เปาบุ้นจิ้น

เปาบุ้นจิ้น ตอน เต่าแสนรู้ เมื่อครั้งที่ เปาบุ้นจิ้น ถือรับสั่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เดินทางไปตรวจราชการ ตามหัวเมืองน้อยใหญ่นั้น ได้นั่งม้ามาถึงตำบลซินเฮง แขวงเมืองจิกไซ และเห็นเต่าตัวหนึ่งคลานมาขวางหน้าม้าอยู่ เต่าตัวนี้มีน้ำตาไหลอาบ และผงกหัวสามครั้ง เหมือนดังจะคำนับท่านเปาบุ้นจิ้น แล้วก็คลานต่อไป เปาบุ้นจิ้นเห็นเป็นเรื่องประหลาดน่าอัศจรรย์ใจ เพราะท่านเคยจับเหตุนิมิตลางสังหรณ์ เอามาคิดตริตรอง เพื่อสอดส่องแสวงหาความเท็จ แลความจริงอันลี้ลับลึกซึ้งต่าง ๆ อยู่เสมอ จึงได้หยุดม้าอยู่ แล้วก็ให้คนใช้ที่มาด้วย ตามไปดูเต่าตัวนั้นว่าจะไปทางไหน คนใช้ก็ตามไป จนถึงบ่อแห่งหนึ่ง เต่านั้นก็กระโจนลงไปในบ่อนั้น คนใช้ก็กลับมาแจ้งให้เปาบุ้นจิ้นทราบ

เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตามตัวชาวบ้านตำบลนั้นมาห้าคน ให้เอาพะองพาดลงไปดูในบ่อว่าจะมีสิ่งใด ผู้คนที่มาช่วยก็ไต่พะองลงไปในบ่อ ก็พบว่ามีศพชายผู้หนึ่งตายอยู่ก้นบ่อ ก็ช่วยกันเอาเชือกผูกช่วยกันฉุดลากเอาศพนั้นขึ้นมา เปาบุ้นจิ้นพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่า ศพนั้นหน้าตายังสดใสอยู่ จึงสอบถามชาวบ้าน ก็ไม่ได้ความว่าผู้ตายเป็นใครอยู่ที่ไหน จึงให้เขียนหนังสือปิดประกาศไปทั่วทั้งแขวงเมืองจิกไซ แล้วให้ หลีเฉียว กับ เตียเจียว พนักงานสองคนไปเที่ยวสืบหาอีกทางหนึ่ง ได้ความว่าเมื่อต้นปีนี้ก็มีชายชื่อ กิ๊ดอั๋ง ลงเรือข้ามแม่น้ำแล้วเรือล่มจมน้ำตาย เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตามตัว นางซุนสี ภรรยาของกิ๊ดอั๋งมาดูศพ นางซุนสีเห็นศพที่เอาขึ้นมาจากบ่อ จำได้ว่าเป็นสามีของตน ก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่ไปมา และได้เล่าเรื่องเดิมให้เปาเล่งถูฟัง เป็นเนื้อความว่า

กิ๊ดอั๋งสามีของนางเป็นเศรษฐีใจบุญ วันหนึ่งได้เชิญ เซียงเฮง ซึ่งเป็นเพื่อนรักที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ มากินเลี้ยงที่บ้านเป็นการรื่นเริงกัน กิ๊ดอั๋งก็บอกแก่ เซียงเฮงว่า จะบรรทุกสินค้าไปขายที่เมืองไซเกียทางเรือ แล้วก็ชวนให้เซียงเฮงไปช่วยขายสินค้าด้วย เซียงเฮงก็ยินดีที่จะไปด้วยกัน กิ๊ดอั๋งก็ขอบใจและนัดให้เซียงเฮงกลับไปก่อน อีกเจ็ดวันให้คนใช้ขนสินค้าจากบ้านไปบรรทุกลงเรือเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยลงเรือไปพร้อมกัน ส่วนนางซุนสีนั้นมีบุตรชายคนหนึ่งอายุยังเยาว์นัก ก็ห้ามมิให้สามีเดินทางไปไกล แต่กิ๊ดอั๋งก็ว่า

“…สินค้าก็ขนลงเรือแล้ว จำเป็นต้องไปจะงดอยู่ไม่ได้ แต่ระยะเวลาที่จะไปอย่างช้าอยู่ในหนึ่งปี อย่างเร็วอยู่ในหกเดือนก็คงจะกลับมา…..”

นางซุนสีครั้นห้ามสามีไม่ฟังดังนั้นแล้ว ก็อุ้มบุตรเดินร้องไห้เข้าเรือนไป

จนเวลาหลายเดือนต่อมา เซียงเฮงก็กลับมาหานางซุนสีที่บ้าน เอาเงินทุนและกำไรในการค้าขายมาให้ นางซุนสีเห็นเซียงเฮงกลับมาแต่ผู้เดียวก็สงสัยถามว่า

“….ท่านมาแล้วเหตุไฉนสามีของข้าพเจ้าจึงยังไม่มาถึง….”

เซียงเฮงก็บอกว่า

“…..เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว สามีของท่านมอบเงินให้ข้าพเจ้า คุมมาส่งให้แก่ท่านก่อน ด้วยสามีของท่านยังไปเที่ยวดูงาน และเสพสุรากันด้วยเพื่อนอยู่แล้ว สามีของท่านจึงจะ มาต่อภายหลัง….”

นางซุนสีได้ฟังดังนั้นก็เชื่อโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยแต่อย่างใด จึงจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงเซียงเฮง แล้วเซียงเฮงก็ลากลับไป

ต่อมาอีกสองสามวัน เซียงเฮงก็มาบอกแก่นางซุนสีว่า

“….สามีของท่านลงเรือข้ามแม่น้ำมาเรือล่ม สามีท่านจมน้ำตายเสียแล้ว บัดนี้ศพลอยมาปะเข้าที่ฝั่งลำแม่น้ำสามแยก ขอให้ท่านใช้คนไปดูว่าจะใช่หรือไม่ใช่…..”

นางซุนสีก็ตกใจ ให้คนใช้ชื่อ อันกอง ไปดูศพแล้วก็กลับมาบอกว่า ลักษณะศพนั้นดูแล้วจำหน้าตาไม่ได้ นางซุนสีก็ว่า

“….อันคนตายหลายเวลาแล้ว เนื้อหนังย่อมเน่าเปื่อย ไหนเลยจะจำได้ แต่มีของสิ่งใดติดตัวเป็นสำคัญบ้าง….”

อันกองก็บอกว่า

“…เห็นมีแต่กระเป๋าแพรปักด้วยไหมทองเป็นสำคัญ…..”

นางซุนสีก็นึกแน่ใจว่าเป็นสามีของตนเอง จึงร้องไห้พูดรำพันว่า

“……กระเป๋าใบนี้มารดาของข้าพเจ้าทำให้คาดไว้กับตัว จึงได้ติดตัวไปจนถึงแก่ความตาย…..”

แล้วนางซุนสีก็บอกบรรดาญาติพี่น้อง ให้จัดหีบใส่ศพเอาไปฝังไว้ แล้วก็ทำกงเต๊กเซ่นไหว้ แผ่ส่วนกุศลไปให้กิ๊ดอั๋งตามธรรมเนียม เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ล่วงมาเกือบจะครบปีแล้ว

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็ไปยังที่ว่าการ แล้วให้พนักงานไปเอาตัวเซียงเฮงมาสอบถาม ว่าทำไมจึงปลอมศพมาแจ้งแก่นางซุนสี เซียงเฮงก็ยืนยันว่ากิ๊ดเอ๋งจมน้ำตายที่แม่น้ำ เปาบุ้นจิ้น จึงให้คนยกศพกิ๊ดเอ๋งที่เอาขึ้นมาจากบ่อให้ดู ซึ่งหน้าตายังดีอยู่ ทำให้เซียงเฮงจนต่อหลักฐาน ไม่สามารถจะหาข้อแก้ตัวได้ จึงจำต้องยอมรับสารภาพตามความจริงว่า

เมื่อกิ๊ดเอ๋งชักชวนให้ลงไปช่วยค้าขายด้วยนั้น ตนเกิดความโลภคิดจะเอาประโยชน์เสียเอง วันที่จะออกเรือไปจึงอ้างว่าเย็นจวนค่ำอยู่แล้ว ไปหาสุรากินกันให้สบายใจก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยออกเรือไป กิ๊ดอั๋งก็เห็นชอบด้วยจึงชวนกันไปเสพสุราในคืนนั้น เซียงเฮงก็มอมสุราจนกิ๊ดอั๋งเมาไม่มีสติ จึงปลดเอากระเป๋าเงินของกิ๊ดอั๋งไว้ แล้วก็พากิ๊ดอั๋งกลับมาที่ตำบลซินเฮง เห็นว่าที่ข้างถนนนั้นมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งลึกหลายวา เซียงเฮงก็ผลักกิ๊ดอั๋งตกลงไปในบ่อน้ำ ถึงแก่ความตาย แล้วเซียงเฮงก็ลงเรือที่บรรทุกสินค้าของกิ๊ดอั๋ง ให้ลูกจ้างแจวไปค้าขายที่เมืองไซเกีย จนหมดสิ้นได้กำไรเป็นอันมากจึงกลับมายังเมืองจิกไซ เซียงเฮงก็แบ่งเอาเงินไว้กึ่งหนึ่ง ที่เหลือจึงนำไปคืนให้นางซุนสี

ครั้นนางซุนสีถามถึงสามีที่หายไป จึงหาอุบายที่จะให้นางซุนสีเลิกคิดถึงสามี โดยไปลักขุดศพในป่าช้าที่เพิ่งตายมาฝังไว้ใหม่ ๆ แล้วเอากระเป๋าของกิ๊ดอั๋งที่ได้ยึดไว้นั้นผูกเข้าที่เอวศพ นำศพไปทิ้งในแม่น้ำตรงสามแยก แล้วจึงมาบอกข่าวแก่นางซุนสีว่าเป็นศพของสามี เมื่อนางซุนสีเชื่อว่าสามีตกน้ำตายไปแล้ว เรื่องก็เป็นอันว่าเงียบหายไป ไม่มีผู้ใดสามารถจะล่วงรู้ได้ เซียงเฮงก็เอาเงินที่ค้าขายได้ มาทำทุนต่อไปจนมีเงินทองมากขึ้น ก็คิดว่าคงจะปลอดภัยแล้ว ไม่นึกว่ากรรมเก่าจะตามมาทันจนได้

เปาบุ้นจิ้นก็พิพากษาโทษเซียงเฮง ให้นำตัวไปประหารชีวิตเสีย แล้วก็เล่าความให้นางซุนสีฟังว่า ความเรื่องนี้กระจ่างขึ้นมาได้ก็เพราะเต่าเป็นเหตุ นำพาไปจนพบศพกิ๊ดอั๋ง

นางซุนสีจึงเล่าว่า เมื่อสองเดือนก่อนที่ สามีจะไปค้าขายกับเซียงเฮง วันหนึ่งมีชาวนาเอาเต่ามาขายให้ตัวหนึ่ง กิ๊ดอั๋งคิดราคาเต่าให้ผู้ขายไปแล้ว ก็ให้คนใช้เอาเต่าไปขังไว้ในครัว พอตกกลางคืนได้ยินเสียงดังเหมือนคนนอนกรม กิ๊ดอั๋งก็จุดเทียนเข้าไปส่องดูในครัวก็ไม่เห็นมีผู้ใดนอนอยู่ นอกจากเต่าที่ถูกขังอยู่ในตะกร้า รุ่งขี้นกิ๊ดอั๋งจึงถามชาวนาผู้นั้นว่าเต่าตัวนี้ได้มาจากที่ใด ชาวนาก็บอกว่าได้มาจากหน้าศาลเจ้าเล่งอ๋อง กิ๊ดอั๋งจึงให้คนใช้นำเต่านั้นไปปล่อยยังบึง หน้าศาลเจ้าเล่งอ๋องตามเดิม

เปาบุ้นจิ้นจึงกล่าวว่า

“….ชั้นแต่สัตว์เดียรัจฉานยังรู้จักคุณมนุษย์ แต่มนุษย์ด้วยกัน หาใคร่จะรู้จักคุณกันไม่…..”

ความที่ท่านเปาบุ้นจิ้นกล่าวข้อนี้เป็นของจริงแท้ ที่แม้เวลาจะล่วงมากว่าร้อยปีแล้ว บ้านเมืองยิ่งเจริญขึ้น มนุษย์ก็ยิ่งขาดความกตัญญูรู้คุณกันมากขึ้น มีแต่จะเอารัดเอาเปรียบกันทุกวิถีทาง หากไม่มีท่านเปาบุ้นจิ้น ซึ่งมีสติปัญญาเฉียบแหลม และเอาธุระหน้าที่ของท่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน บางทีจะเลยกลบเกลื่อนผันแปรไปได้หลายทาง

ควรเราท่านผู้อ่านจะจดจำจารึกไว้ในใจว่า คนชั่วประกอบการทุจริต แม้จะได้ลาภก็จะเป็นไปได้คราวหนึ่ง แต่จะไม่ยั่งยืนยาวถาวร ตนคงจะต้องรับผลของความทุจริต ที่เป็นบาปอันตนได้กระทำไว้ อย่างแน่นอน.

วารสารสุรสิงหนาท
มกราคม ๒๕๔๑

เล่าเซี่ยงชุน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *