เปาบุ้นจิ้น ตอน เงินสามลิ่ม ในครั้งหนึ่ง เปาบุ้นจิ้น ได้ตรวจราชการ ต่างพระเนตรพระกรรณของ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มาถึงเมืองฮ่อหนำ ก็มีชายผู้หนึ่ง ชื่อ เอียบก๊วง มายื่นฟ้องร้องต่อเปาเล่งถู มีความว่าตนเองตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบู๊เอี๋ยงกุ้ย แขวงเมืองฮ่อหนำ ภรรยาชื่อ นางซ่วนสี มีรูปร่างงามสละสลวยสวยสำอาง ทั้งสองสามีภรรยาทำการทอผ้าขายเลี้ยงชีวิตอยู่โดยไม่มีบุตร ต่อมาเอียบก๊วงเก็บหอมรอมริบได้เงินสี่ตำลึง จึงเอาเงินตำลึงหนึ่งกับเศษเบี้ยอีแปะอีกห้าร้อย ให้นางซ่วนสีเอาไว้ใช้สอย ตนเองเอาเงินสามตำลึงติดตัวไปทำทุนค้าขายที่เมืองไซเกีย
เอียบก๊วงไปทำมาค้าขายอยู่เป็นเวลาหลายเดือน ได้กำไรถึงสิบสามตำลึง ก็หอบเอาเงินนั้นกลับมาบ้าน เดินทางมาหลายวันก็ถึงบ้านในเวลากลางดึก ก็แอบเอาเงินทั้งหมดฝังดินไว้ตรงชายคาบ้าน แล้วจึงร้องเรียกภรรยา ให้ออกมาเปิดประตูรับ นางซ่วนสีก็จุดไต้จุดไฟหุงต้มอาหารให้สามีรับประทาน จนอิ่มหนำสำราญดี ก็พากันเข้าไปหลับนอน นางซ่วนสีก็ถามสามีว่า ไปค้าขายครั้งนี้มีกำไรมากน้อยสักเท่าใด เอียบก๊วงก็บอกว่า
“…..ไปค้าขายครั้งนี้คิดต้นทุนกำไรได้สิบหกตำลึง แต่เราไม่อาจเอาเข้ามาเก็บไว้ในโรง ด้วยโรงของเราไม่แน่นหนา แล้วก็มีแต่ห้องเดียวยากที่จะเก็บไว้ได้ บัดนี้เราได้ฝังไว้ที่ตรงชายคาข้างโรงเอาไม้ปักไว้เป็นสำคัญเครื่อง หมาย….”
แล้วทั้งสองก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ครั้นรุ่งเช้าเอียบก๊วงไปดูตรงที่ฝังเงินไว้ เห็นมีรอยขุดและเงินที่ฝังไว้ก็หายไปหมด ก็มีความเสียใจเป็นอันมากแทบลมจับ เพราะเป็นเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรง ด้วยความเหนื่อยยาก จึงรำพันว่า
“…..ยิ่งขัดสนจนยากก็ยิ่งเผอิญมาเป็น เมื่อเวลากลับมาได้ฝังไว้กับมือของตนเอง ไม่มีผู้ใดที่จะรู้เห็นเลย เหตุไฉนหนอจึงมาหายไปดังนี้…”
เมื่อได้สติก็รีบมาร้องเรียนต่อท่านเปาบุ้นจิ้น แล้วคำนับขอร้องว่า
“…ขอท่านผู้มีสติปัญญา ใจตั้งอยู่ในยุติธรรม ได้เมตตาโปรดพิจารณาไต่สวน เอาตัวผู้ร้าย และเงินสิบหกตำลึงให้แก่ข้าพเจ้าด้วย…..”
เปาบุ้นจิ้นพิเคราะห์ดูคำร้องทุกข์แล้วก็ถามว่า เมื่อฝังเงินไว้นั้นได้บอกเล่าให้ภรรยา รู้ด้วยหรือเปล่า เอียบก๊วงก็บอกว่า
“………ข้าพเจ้าได้เล่าบอกแก่ภรรยาให้รู้ด้วย แต่ผู้อื่นมิได้บอกเล่าแก่ผู้ใด เพราะ ข้าพเจ้าพึ่งมาถึงในเวลากลางคืน ก็เอาฝังไว้ ครั้นเช้าก็หายไปดังนี้…..”
เปาบุ้นจิ้นจึงให้พนักงานไปเอาตัวนางซ่วนสีมาซักถามว่า ได้คบชู้สู่ชายอื่นบ้างหรือไม่ นางซ่วนสีก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร เปาบุ้นจิ้นจึงให้พนักงานคุมตัวนางซ่วนสี เอาไปมัดประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง แล้วให้เฝ้าคอยดูว่าจะมีผู้ใดมาพูดจากับนางซ่วนสีบ้าง ถ้ามีก็ให้จับตัวคนผู้นั้นมาสอบสวนเอาตัวผู้ร้ายให้ได้
เจ้าพนักงานสองนายคือ เตียกง กับ หลีบั้น ก็คุมตัวนางซ่วนสี ไปมัดไว้ที่ทางสามแพร่ง และเฝ้าคอยดูอยู่ตามคำสั่ง ไม่นานนักก็มีชายคนหนึ่ง เข้ามาพูดจาไต่ถามนางซ่วนสี ว่ามีเรื่องราวคดีความอย่างใด จึงได้ถูกมัดประจานไว้เช่นนี้ ยังไม่ทันที่นางซ่วนสีจะเล่าเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้น พนักงานทั้งสองก็เข้าไปจับกุมชายผู้นั้น เอามาส่งให้เปาบุ้นจิ้นทันที
เมื่อเปาบุ้นจิ้นสอบสวนได้ความว่า ชายผู้นั้นชื่อ หงอเอ้ง เปาบุ้นจิ้นก็ถามว่า นางซ่วนสีเกี่ยวข้องเป็นญาติหรือเป็นอะไรกับตน จึงต้องเข้าไปพูดจาไต่ถาม หงอเอ้งก็คุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า
“……ข้าพเจ้าเห็นผู้คนกลุ้มรุมกันดูหญิง ต้องโทษมัดประจาน ข้าพเจ้าก็มาดูบ้าง ซึ่งจะได้เป็นญาติหรือเกี่ยวข้องด้วยประการใดก็หาไม่…”
เปาบุ้นจิ้นจึงถามต่อไปว่า
“…..เจ้านี้ยังเป็นหนุ่มแน่นอยู่ มีบุตรภรรยาแล้วหรือยัง..”
หงอเอ้งก็บอกว่า
“….ข้าพเจ้าเป็นคนอนาถา ไม่มีเงินจะสู่ขอภรรยา…”
เปาบุ้นจิ้นก็ว่า
“……ตัวเจ้ายังไม่มีภรรยานั้น บัดนี้เราจะยกหญิงผู้นั้น ให้เป็นภรรยาของเจ้า เพราะว่าสามีของหญิงผู้นั้นเขาจะขายเอาสามสิบตำลึง แต่เราเห็นว่าเหลือเกินนัก เราจะช่วย ตัดรอนลงให้เพียงยี่สิบตำลึง ตัวเจ้าจงไปจัดหาเงินมาเถิด เราจะยกหญิงนั้นให้หญิงนั้นเป็นภรรยา….”
หงอเอ้งก็ว่าตนเองยากจน เหลือสติกำลัง ที่จะหาเงินยี่สิบตำลึงมาได้ เปาบุ้นจิ้น ก็ลดลงอีกเอาแต่เพียงสิบห้าตำลึง หงอเอ้งก็ยังร้องทุกข์อยู่ว่า ไม่รู้ที่จะหาเงินมาได้ด้วยประการใด เปาเล่งถูก็บอกว่า
“…..ถ้าไม่มีถึงสิบห้าตำลึง ก็จัดหามาให้ได้ เพียงสิบสองตำลึงก็เอาเถิด เราจะช่วยสงเคราะห์ออกให้บ้าง….”
หงอเอ้งก็ยังไม่วายอิดออดว่าไม่รู้จะไปหาที่ไหน เปาบุ้นจิ้นชักโกรธร้องตวาดเอาว่า
“….เขากระทำโทษประจานหญิงนั้น ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาใกล้เคียงพูดจาแก่หญิงนั้นเล่า มาบัดนี้ซิจะมาร้องว่าไม่มีเงินทองจะได้อยู่หรือ…..”
แล้วก็ยื่นไม้ตายว่า
“……ถ้าเจ้าไม่มีแล้วเจ้าจะต้องจำขังคุกเป็นแน่…..”
หงอเอ้งก็ยอมตกลง รับคำว่าจะเอาเงินสิบสองตำลึง มาซื้อนางซ่วนสีไปเป็นภรรยา เปาเล่งถูจึงสั่งปล่อยหงอเอ้งกลับบ้านไป
แต่เปาบุ้นจิ้นก็ให้เตียกังแอบติดตามหงอเอ้งไปดูที่บ้านด้วย เตียกังเห็นหงอเอ้ง เอาเงินตำลึงลิ่มใหญ่สามลิ่ม ไปเที่ยวหาแลกเป็น
เงินย่อยในตลาด จึงจับตัวหงอเอ้งพร้อมด้วยเงินสามลิ่มนั้น เอามาให้เปาบุ้นจิ้นตามคำสั่ง
เปาบุ้นจิ้นจึงให้ไปตามเอียบก๊วง มาดูเงินของกลางสามลิ่ม ที่หงอเอ้งเอาไปเที่ยวแลกนั้นว่าเป็นเงินของตนหรือไม่ เอียบก๊วงก็ยืนยันว่าเงินนั้นก็คือเงินของตน ที่ฝังไว้ข้างบ้าน เปาบุ้นจิ้นก็แกล้งว่า
“……ท่านจำได้แน่ละหรือ ดูผิดไปดอกกระมัง เงินรายนี้เป็นเงินคลังของเรา เบิกมาให้แก่หงอเอ้งต่างหาก ท่านจงดูให้แน่ก่อนเถิด.”
เอียบก๊วงก็ร้องไห้บอกว่า
“…..เงินรายนี้ของข้าพเจ้าสามลิ่ม แต่สองลิ่มน้ำหนักลิ่มละห้าตำลึง ลิ่มหนึ่งหนัก หกตำลึง รวมสามลิ่มน้ำหนักสิบหกตำลึง…..”
เปาบุ้นจิ้นจึงให้ชั่งเงินนั้นดู ก็มีน้ำหนักถูกต้องกับคำของเอียบก๊วงทุกประการ จึง ถามหงอเอ้งว่า เป็นชู้กับนางซ่วนสีและสมรู้กันลักขุดเอาเงินของเอียบก๊วงไปจริงหรือไม่ ถ้าไม่รับก็จะผูกตีให้สาหัส
หงอเอ้งจำนนต่อหลักฐานจำต้องสารภาพความจริงว่า ตนนั้นเป็นคนอยู่บ้านตำบลเดียวกันกับเอียบก๊วงและภรรยา ได้แอบรักนางซ่วนสีมาช้านาน เมื่อทราบว่าเอียบก๊วงเดินทางไปค้าขายที่เมืองไซเกีย ก็คิดอุบายเขียนหนังสือ ปลอมเป็นหนังสือของเอียบก๊วง ฝากมาจากเมือง ไซเกีย เล่าเรื่องการค้าขายและถามทุกข์สุขของภรรยา เอาไปให้นางซ่วนสีแล้วบอกว่า
“…..ข้าพเจ้ากับเอียบก๊วง เป็นคนคุ้นเคยรู้จักและรักใคร่กันมาแต่เดิม ได้ไปพบปะกันที่เมืองไซเกีย จึงได้ฝากหนังสือมาให้แก่ท่าน และได้ฝากฝังท่านให้ข้าพเจ้าเป็นธุระอุปถัมภ์บำรุงท่าน เมื่อเวลาเจ็บไข้และทุกข์ร้อนด้วย….”
นางซ่วนสีก็สำคัญว่าจริง จึงคบหาไปมาหาสู่กันเป็นประจำ หงอเอ้งนั้นรูปร่างสะสวยสะอาดงาม พูดจาก็ไพเราะ นางซ่วนสีก็มีจิตรักใคร่และทำกิริยาให้หงอเอ้งรู้ หงอเอ้งจึง พูดจาเกี้ยวพาราสี จนรักใคร่ได้เสียเป็นชู้กันมา เป็นเวลาหลายเดือน
จนกระทั่งวันที่เอียบก๊วงกลับมาจากเมืองไซเกีย ถึงบ้านในตอนดึก ซึ่งขณะนั้น หงอเอ้งกำลังนอนอยู่กับนางซ่วนสีในห้อง พอได้ยินเสียงเอียบก๊วงร้องเรียกก็จำได้ นางซ่วนสีจึงให้หงอเอ้งเปิดประตูหลังโรงรีบหนีออกไป แล้วนางซ่วนสีก็ออกมาเปิดประตูหน้าบ้านต้อนรับสามี แต่หงอเอ้งยังไม่ได้กลับไปในทันที คงแอบฟังความอยู่ข้างหลังบ้าน จึงรู้เรื่องที่เอียบก๊วงเอาเงินฝังไว้ และแอบขุดเอาไปในคืนนั้นเอง เมื่อสองสามีภรรยานอนหลับแล้ว นางซ่วนสีไม่ได้รู้เห็นด้วยเลย
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังคำสารภาพรับเป็นสัตย์แล้ว จึงตัดสินพิพากษา ให้เฆี่ยนนางซ่วนสีกับหงอเอ้งคนละห้าสิบที ฐานเป็นชู้กัน สำหรับโทษฐานลักเงินนั้น ให้เนรเทศหงอเอ้ง ไปอยู่หัวเมืองไกลเป็นเวลาสามปี ส่วนเงินสามลิ่มนั้นให้คืนเอียบก๊วง และรับเอาตัวนางซ่วนสีไปเลี้ยงดูดังเดิม
ถ้าไม่ได้สติปัญญาอันเฉียบแหลมของท่านเปาบุ้นจิ้นแล้ว เอียบก๊วงพ่อค้าผู้ละทิ้งภรรยาไว้แต่ผู้เดียวเป็นเวลานานเกินไป ก็คงจะต้องเสียทั้งภรรยา และเงินที่หามาได้ ด้วยน้ำพัก น้ำแรงไป จนสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นแน่แท้.
วารสารกองพลทหารราบที่ ๓
มกราคม ๒๕๔๑
เล่าเซี่ยงชุน