เปาบุ้นจิ้น ตอน เสื้อเปื้อนโลหิต เมื่อครั้งที่ เปาบุ้นจิ้น เป็นเจ้าเมืองเตียวเซ็งนั้น ได้รับแจ้งความจาก ฮ่องซีเสียน บุตรชายของเศรษฐีตำบลโป๊ะกะถอนว่า ภรรยาชื่อ เลียงเนี้ย ถูกผู้ร้ายสามคนชิงทรัพย์ และทำร้าย ร่างกายถึงสาหัส โดยได้ให้การว่า
ตนได้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากับนางเลียงเนี้ย บุตรีของ ตันค้อ ซึ่งมีกิริยามารยาทเรียบร้อย และมีความซื่อตรงกตัญญูต่อบิดา อยู่มาประมาณปีหนึ่ง บิดาของภรรยา ป่วยไข้ให้คนใช้มาแจ้งความแก่ภรรยาของตน นางเลียงเนี้ยจึงขออนุญาตไปเยี่ยมบิดา ตนได้ห้ามไว้ว่าให้รออีกสองสามวันจึงค่อยไป นางเลียงเนี้ยเห็นว่าบิดาของนางป่วยมาก และมีบุตรอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดปฏิบัติดูแล จึงได้แอบหนีไปในเวลาดึก ประมาณสามยามเศษ และเอาทรัพย์สินเงินทองใส่ตะกร้า ให้ จิ้นอั๋น เด็กคนใช้ของบิดาซึ่งมาบอกข่าว หิ้วตามไปด้วย
จนกระทั่งรุ่งเช้า ฮ่องซีเสียนกำลังกินอาหารอยู่ จิ้นอั๋นก็กลับมาบอกว่า นางเลียงเนี้ย ถูกผู้ร้ายปล้นทรัพย์ และถูกทำร้ายนอนสลบอยู่ในป่าตำบลจี๋หลิม ฮ่องซีเสียนก็ตกใจว่าไม่ควรเลยได้ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง ขืนไปจนมีอันตรายมาถึงตัวดังนี้ ว่าแล้วก็จ้างให้พวกหามเกี้ยวไปหามนาง เลียงเนี้ยกลับมาบ้าน เห็นมีแผลฉกรรจ์ที่แขนซ้าย จึงได้ตามหมอมารักษาบาดแผลแล้ว
จิ้นอั๋นเด็กคนใช้ก็ให้การเพิ่มเติมว่า ตนได้หิ้วตะกร้าตามหลังนางเลียงเนี้ย ออกจากประตูหลังบ้านในกลางดึก เดินทางไปประมาณสองลี้ ก็ถึงป่าตำบลจี๋หลิมเป็นเวลาจวนจะสว่าง ขณะนั้นอากาศหนาวมีน้ำค้างและหมอกลงคลุ้มไปหมด แลไม่เห็นหน้ากันได้ถนัด ตนจึงชวนให้นางเลียงเนี้ยหยุดพักในป่าละเมาะก่อน รอให้พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างและหมอกจางลง จึงค่อยเดินทางต่อไป นางเลียงเนี้ยก็ว่าป่าละเมาะนั้นอาจจะมีคนร้ายแอบซุ่มอยู่ ควรจะไปพักที่ศาลเจ้าข้างหน้าจะดีกว่า
ครั้นเดินต่อไปได้อีกประมาณหนึ่งลี้ ก็พบคนขายเนื้อสุกรสามคน หาบเนื้อไปขาย เดินสวนมา และเมื่อผ่านพ้นไปแล้วคนทั้งสามก็หันกลับ เดินย้อนตามมาข้างหลัง นางเลียงเนี้ยเห็นผิดสังเกต จึงถอดแหวนและกำไลออกจากตัวเอาซ่อนไว้ในชายพก เมื่อผู้ร้ายทั้งสามคนเดินตามมาทัน ก็ตรงเข้าแย่งชิงเอาสิ่งของและเงินทองในตะกร้าไป พอเห็นนางเลียงเนี้ยเอามือกุมชายพกอยู่ จึงเอามีดหมูฟันแขนซ้ายนางเลียงเนี้ยล้มลง สิ่งของที่ชาย พกกลิ้งหลุดออกมา พวกผู้ร้ายก็เก็บไปหมดสิ้น นางเลียงเนียก็สลบแน่นิ่งไปมีโลหิตไหลนอง จิ้นอั๋นตกใจกลัวมากก็วิ่งหนีกลับมาบ้าน
เปาบุ้นจิ้นก็ซักถามจิ้นอั๋นว่าจำหน้าผู้ร้ายทั้งสามคนนั้นได้หรือไม่ จิ้นอั๋นก็ว่าหมอกลงหนามากจำหน้าไม่ได้ แต่รู้ว่าเป็นคนขายสุกร เปาบุ้นจิ้นจึงให้ฮ่องซีเสียนกลับไปบ้าน เอาเสื้อผ้าของนางเลียงเนี้ยที่มีโลหิตเปื้อนเปรอะนั้นมา เปาบุ้นจิ้นก็มอบหมายให้ ฮ่วงเส็ง คนใช้เอาเสื้อผ้านั้นไปป่าวร้องตามหมู่บ้านที่ฆ่าสุกรขาย ว่ามีโจรผู้ร้ายอยู่ที่ตำบลจี๋หลิม ตีปล้นหาบสุกรที่เดินผ่านไปขาย สองคนหนีไปได้ อีกคนหนึ่งต่อสู้กับพวกผู้ร้าย ได้ถูกผู้ร้ายฆ่าตายเสียแล้ว
ฮวงเส็งกับพวกอีกสองคน ก็ถือเสื้อผ้าที่เปื้อนโลหิตของนางเลียงเนี้ยไป เที่ยวป่าวประกาศในหมู่บ้านทางแถบที่มีผู้ชำแหละสุกรขายดังกล่าว ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายโมง นางอาจู ภรรยาของ เตียหมัน ซึ่งมีอาชีพขายสุกร นั่งอยู่หน้าบ้าน ก็ตกใจด้วยสามีไปขายสุกรยังไม่กลับมา จึงวิ่งออกมาถามเรื่องราวจากฮ่วงเส็ง ว่าพวกผู้ร้ายที่ปล้นฆ่าพ่อค้าสุกรที่ตำบลใดแน่ ฮ่วงเส็งก็บอกว่าพวกโจรดักอยู่ที่ตำบลจี๋หลิม ตนไปเจอคนตายไม่แจ้งว่าเป็นศพผู้ใด หรือเป็นสามีของผู้ใด จึงถอดแต่เสื้อผ้าออกจากตัวผู้ตาย มาบอกกล่าวให้รู้กัน ถ้าผู้ใดจำได้ว่าเป็นญาติของตนแล้ว จะได้นำไปเก็บศพมาฝังเสียตามธรรมเนียม แล้วก็ถามนางอาจูว่า พวกพ้องของนางไปค้าขายทางตำบลจี๋หลิมกี่คน นางอาจูก็บอกว่าไปสามคนด้วยกัน ผู้ที่ตายนั้นจะเป็นสามีของตนหรือผู้ใดก็ไม่แจ้ง จึงมีความวิตกยิ่งนัก
ในขณะที่พูดกันอยู่นั้น ก็พอดีเตียหมันสามีของนางอาจูกลับมา แล้วแวะเข้าไปในโรงเตี๊ยมซึ่งขายสุราหน้าบ้าน นางอาจูก็มีความยินดี จึงชี้บอกฮ่วงเส็งว่า
“….นั่นสามีข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าสิ้นความวิตก….”
ฮ่วงเส็งได้ฟังดังนั้นก็ให้คนใช้สองคน เข้าไปจับตัวเตียหมัน ค้นในตัวได้ทรัพย์สินที่เป็นของกลาง จึงนำตัวมาส่งให้เปาบุ้นจิ้นทันที
เปาเล่งถูก็ขู่ถามว่าเพื่อนอีกสองคนอยู่ที่ไหน จงบอกมาตามความจริง มิฉะนั้นจะถูกตีให้สาหัส เตียหมันก็รับสารภาพว่าเพื่อนอีกสองคนคือ เล่าเต๊ก กับ หงอกิว ได้หาบสุกรไปขายตำบลอื่น เมื่อผ่านมาพบนางเลียงเนี้ยกับจิ้นอั๋นเด็กคนใช้เดินทางมากัน เพียงสองคน ก็คิดว่าคงจะไปเยี่ยมญาติที่อยู่ในเมือง และมีเงินทองติดตัวไปด้วยเป็นแน่ ถ้าตีชิงเอามาแบ่งกันได้ก็คงจะดี เมื่อเข้าไปแย่งชิงเอาของในตะกร้าแล้ว ตนเองเห็นนางเลียงเนี้ยกุมชายพกไว้ จึงเอามีดชำแหละสุกรฟันแขนซ้าย เป็นแผลฉกรรจ์ล้มล้ง แล้วเก็บเอาแหวนและกำไลไปเสียด้วย
เปาบุ้นจิ้นจึงให้ฮ่วงเส็งกับ หลีโป้ นำพวกไปตามจับเอาตัว หงอกิ้วกับเล่าเต๊ก ซึ่งกำลังเดินกลับบ้านได้ทั้งสองคน เมื่อซักถามก็รับสารภาพเป็นสัตย์ทั้งสองคน เปาบุ้นจิ้นจึงตัดสินลงโทษผู้ร้ายทั้งสามไปตามกฎหมาย
คดีนี้เป็นเรื่องยาก เพราะเจ้าทุกข์จำหน้าคนร้ายไม่ได้ ถ้าชักช้าไม่ได้ของกลาง ก็คงไม่มีใครยอมรับผิด เปาบุ้นจิ้นจึงรีบดำเนินการตามอุบาย จับตัวคนร้ายได้ภายในครึ่งวัน ยังไม่ทันจะยักย้ายถ่ายเทของกลางออกไปจากตัว คดีจึงเป็นอันยุติลงได้อย่างง่ายดาย พ่อค้าสุกรผู้มีความละโมบโลภมาก จึงต้องได้รับโทษทัณฑ์ไปตามกระบิลเมือง ตามกรรมที่ได้ก่อไว้ ดังนี้.
จาก วารสาร สรรพาวุธ
มกราคม ๒๕๓๙
เล่าเซี่ยงชุน