เปาบุ้นจิ้น ตอน ปีศาจปลอม ในครั้งหนึ่ง เปาบุ้นจิ้นได้เป็นผู้ตรวจราชการ มาพักอยู่ที่เมืองเต๊กอันหู มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อ เสียวหูฮั่น มายื่นฟ้อง ค้อเหียนตง นักเรียนในชั้นสิวจ๋าย อายุสิบแปดปี ว่าได้ฆ่า นาง สุกเง็ก บุตรีอายุสิบเจ็ดปีของตนถึงแก่ความตาย เนื้อความในคำฟ้องไม่มีรายละเอียดอันใดเลย นอกจากเล่าว่า
เช้าวันหนึ่งถึงเวลากินข้าวแล้ว บิดาและมารดาของนางสุกเง็ก ไม่เห็นบุตรีของตนลงมากินข้าวด้วย เสียวหูฮั่นจึงขึ้นไปในห้องนอนของนางสุกเง็ก ก็เห็นบุตรสาวของตนนอนตายอยู่ในห้อง มีบาดแผลโลหิตไหลอาบอยู่ จึงได้เชิญกำนันนายบ้านนายอำเภอ มาพลิกศพชันสูตรบาดแผล รู้ว่าถูกแทงด้วยมีด และทรัพย์สินก็หายไปหลายสิ่ง กับมีเพื่อนบ้านไม่ระบุชื่อมาบอกเล่าว่า นางสุกเง็กรักใคร่เป็นชู้อยู่กับค้อเหียนตงมาช้านานแล้ว คืนที่เกิดเหตุค้อเหียนตงไปกินเลี้ยง เสพสุรากับเพื่อนหลายคน คงจะเมาสุรากลับมาหานางสุกเง็กและฆ่านางเสีย
แม้จะเป็นคำฟ้องที่เลื่อนลอยเต็มที แต่เปาบุ้นจิ้นก็มิได้ละเลยในการคิดพิจารณาหาสาเหตุ จึงให้นักการไปตามตัวค้อเหียนตงมาชำระไต่ถาม ค้อเหียนตงก็ได้ให้การว่า ตนเป็นนักเรียนได้เดินทางไปโรงเรียน ผ่านมาทางบ้านของเสียวหูฮั่นทุกวัน ได้แลเห็นนางสุกเง็กบุตรสาวของเศรษฐี มีลักษณะงามก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ยิ่งนัก จึงวานหญิงที่ชอบพออัชฌาสัยกับนางสุกเง็ก เป็นสื่อช่วยพูดจาให้ นางสุกเง็กก็พอใจรักใคร่ตนด้วย จึงได้นัดแนะไปมาหาสู่ร่วมรู้รักใคร่ได้เสียกัน
นางสุกเง็กก็บอกกับค้อเหียนตงว่า ต่อไปไม่ต้องเอาบันไดมาพาด ให้ผู้คนชาวบ้านรู้เห็น นางจะเอาเชือกทำบันไดมีสายเหนี่ยว หย่อนลงไปจากหน้าต่าง มีเชือกเส้นเล็ก ๆ ผูกไว้เป็นสำคัญ เมื่อมาถึงก็ให้กระตุกเชือก จะได้หย่อนบันไดลงมาให้ไต่ขึ้นไปอยู่ด้วยกัน ค้อเหียนตงก็ไปมาหาสู่นางสุกเง็กด้วยวิธีดังกล่าวนั้น ประมาณสักหกเดือน บิดามารดาของนางสุกเง็กก็มิได้รู้ความ แต่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงนั้นก็รู้กันอยู่ทั้งสิ้น
ในระหว่างที่เกิดเหตุนั้น ค้อเหียนตงได้ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนนักเรียน และเสพสุรามึนเมา จนต้องนอนค้างกับเพื่อนอีกหลายคน ซึ่งสามารถที่จะอ้างให้มาเป็นพยานได้
เปาบุ้นจิ้นก็ให้ไปตามพยานที่ค้อเหียนตงกล่าวถึง พยานเหล่านั้นก็ได้ให้การตรงตามคำของจำเลยทุกคน เปาบุ้นจิ้นจึงถามจำเลยว่า เมื่อเวลาที่ไปมาหาสู่กับนางสุกเง็กในครั้งก่อน ๆ นั้น ได้พบปะผู้ใดให้รู้เห็นเป็นพยานบ้างหรือไม่
ค้อเหียนตงก็ให้การว่า
“…..เมื่อเวลาข้าพเจ้าไปมาหาสู่นางสุกเง็กนั้น หามีผู้รู้เห็นเป็นพยานไม่ ได้พบแต่หลวงจีนรูปหนึ่ง เดินภาวนาเคาะเกราะไปมาอยู่ตามถนนนั้น นอกจากนั้นแล้วข้าพเจ้าหาได้พบปะผู้ใดไม่…..”
เปาบุ้นจิ้นก็ว่าถ้าเช่นนั้น ค้อเหียนตงก็เป็นผู้ฆ่านางสุกเง็กเป็นแน่แล้ว จึงสั่งให้เฆี่ยนค้อเหียนตงยี่สิบที แล้วให้เอาตัวไปขังคุกไว้ก่อน จากนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ไปเที่ยวสืบว่า หลวงจีนองค์ที่จำเลยให้การถึงนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่ก็ไปสืบได้ความว่าชื่อ หลวงจีนเม่งซิว สำนักอยู่ที่วัดกวนอิมยี่ ใกล้สะพานฮ่วนเกีย เปาบุ้นจิ้นจึงได้ออกอุบายให้เจ้าหน้าที่สองคนคือ อ๋องต๋ง กับ หลีหงี ไปทำการหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
วันหนึ่งเวลาดึกประมาณสองยาม หลวงจีนเม่งซิวออกจากวัดเที่ยวเดินภาวนาตีเกราะมาตามเคย พอถึงสะพานฮ่วนเกีย ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใต้สะพาน เหมือนเสียงปีศาจว่า
“…ท่านหลวงจีนเอ๋ย ไม่ควรเลยที่จะฆ่าเรา บัดนี้เราได้ไปฟ้องท่านต่อพระยายมราชแล้ว ท่านให้นำยมบาลมาเป็นเทวฑูต เอาดวงจิตวิญญาณของท่านไปชำระยังเมืองนรก..”
หลวงจีนเม่งซิวได้ยินก็ตกใจยิ่งนัก แลเห็นเทวฑูตยืนอยู่บนสะพานร้องสำทับว่า
“….ท่านหลวงจีนนี้ไม่อยู่ในศีลในธรรม ฆ่ามนุษย์แล้วมิหนำเอาทรัพย์ของเขาโดยไถยจิตอันเป็นใจขะโมย บัดนี้พระยายมให้เรามาเอาวิญญาณท่านไปชำระในนรก….”
หลวงจีนเม่งซิวก็ทรุดตัวลงนั่งภาวนา แล้วร้องบอกไปว่า
“….อันแก้วแหวนเงินทองสิ่งของเครื่องแต่งตัวของเจ้านั้น เราจะจำหน่ายขายเอาเงินมาทำกงเต๊ก แผ่กุศลส่วนบุญให้แก่เจ้า อย่าได้มาหลอกหลอนเราต่อไปเลย….”
เทวพูตทั้งสองตนบนสะพาน ก็ตรงเข้ามาจับตัวหลวงจีนเม่งซิวมัดไว้ ซึ่งที่แท้ก็คืออ๋องต๋งกับหลีหงีนั่นเอง ทั้งสองนำตัวหลวงจีนมาให้เปาบุ้นจิ้นไต่สวน หลวงจีนก็ให้การตามความสัตย์จริงว่า
เรื่องที่ค้อเหียนตงกับนางสุกเง็กพบกันนั้น ตนได้เห็นอยู่เสมอ เมื่อคืนที่เกิดเหตุนั้น ตนเดินจงกรมตามถนนผ่านมาถึงตึกของนางสุกเง็ก เห็นเชือกเส้นเล็กห้อยลงมาจากหน้าต่าง จึงเข้าไปใกล้แล้วจับเชือกนั้นดึงดู นางสุกเง็กเข้าใจว่าเห็นค้อเหียนตง จึงหย่อนบันไดเชือกลงมารับอย่างเคย หลวงจีนเม่งซิวจึงเหนี่ยวเชือกปีนบันไดไปจนถึงหน้าต่าง
นางสุกเง็กเห็นเป็นหลวงจีนมิใช่ค้อเหียนตง ก็ตกใจตัวสั่นแล้วว่า
“….เราหวังใจว่าชู้รักของเรา จึงหย่อนบันไดรับให้ขึ้นมา ตัวท่านหาใช่ชู้รักของเราไม่ ประการหนึ่งตัวท่านเป็นชีบานาสงฆ์บวชแล้ว ควรจะตั้งอยู่ในศีลสัตย์ตามเพศของนักบวช หาควรกระทำความชั่วให้ผิดเพศสัมณะไม่ จงรีบลงไปเสียให้พ้นตึกเรา….”
หลวงจีนก็ตอบว่า
“….ตัวเจ้าได้รับรูปขึ้นมาถึงที่นี่แล้ว ขอให้รูปได้อาศัยหลับนอนด้วยสักคืนหนึ่งเถิด รูปจะมีความขอบใจสีกาเป็นอันมาก ทั้งสีกาก็จะได้ส่วนผลานิสงค์เป็นอันมากด้วย….”
นางสุกเง็กก็ตวาดเอาว่า
“….ถ้าท่านขืนดื้อดึงอยู่ มิลงไปเสียโดยเร็ว เราจะร้องขึ้นให้ชาวบ้านร้านตลาด มาจับตัวท่านว่าเป็นผู้ร้าย ท่านก็จะได้ความอัปยศอดอาย ทั้งจะมีโทษด้วยเป็นอันมาก….”
หลวงจีนยังเถียงอีกว่า
“…..เจ้ารับเราขึ้นมาแล้ว และกลับมาขับไล่เสียอีก ดังนี้หาควรไม่….”
นางสุกเง็กเห็นหลวงจีนยังพูดดื้อดึงอยู่ดังนั้น ก็ร้องขึ้นได้คำหนึ่ง ทันใดนั้นหลวงจีนก็ชักมีดออกจากพก ตรงเข้าไปฆ่านางสุกเง็กตายในทันที แล้วก็เก็บแก้วแหวนเงินทอง และสิ่งของซึ่งมีราคา อันเป็นเครื่องแต่งตัวของนางสุกเง็กนั้น ไปเป็นประโยชน์แห่งตนทั้งหมด
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังคำสารภาพของหลวงจีนเม่งซิวแล้ว ก็พิพากษาปรับโทษไปตามกฎหมาย และให้รางวัลแก่หญิงคนชั่วที่ปลอมเป็นปีศาจ และอ๋องต๋ง กับหลีหงี ซึ่งปลอมเป็น เทวฑูต ตามสมควรแก่ความชอบ แล้วก็ปล่อยค้อเหียนตงออกจากคุก
ท่านเปาบุ้นจิ้นได้แนะนำค้อเหียนตงว่า
“…..ตัวท่านก็ได้เป็นผู้เล่าเรียนรู้ขนบธรรมเนียมอยู่แล้ว อันนางสุกเง็กผู้ตายก็ได้ร่วมรักแก่ตัวท่าน จัดว่าเป็นภรรยาของท่านแล้ว มาถึงแก่ความตายเสียด้วยฝีมือของหลวงจีนฉะนี้ ตัวท่านต้องไว้ทุกข์นุ่งขาวห่มขาวให้แก่นางสุกเง็ก อันนางสุกเง็กนี้ต้องนับว่าเป็นเอกภรรยาของท่าน…..”
ค้อเหียนตงก็กระทำการไว้ทุกข์ ให้นางสุกเง็กตามธรรมเนียมจีน แล้วก็แจ้งความกับเปาบุ้นจิ้นว่า
“………..เดิมข้าพเจ้าตั้งใจว่า ถ้าข้าพเจ้าสอบไล่ได้ประโยคกือหยินแล้ว ก็จะให้ผู้ใหญ่เป็นเฒ่าแก่มาสู่ขอนางสุกเง็กต่อบิดามารดา มาบังเอิญเป็นให้หลวงจีนคนร้าย ฆ่านางสุกเง็กเสียดังนี้ ข้าพเจ้ามีความเสียดายนางสุกเง็ก และมีความโทมนัสเป็นที่ยิ่ง ข้าพเจ้าไม่ขอมีภรรยา ต่อไปแล้ว…..”
เปาบุ้นจิ้นก็ให้สติว่า
“…..อันเกิดมาเป็นชายชาติทหาร ต้องมีบุตรภรรยา จะได้ต่อเชื้อสืบสายตระกูล แม้ว่าผู้ใดไม่คิดต่อเชื้อชาติตระกูล ก็จัดว่าผู้นั้นไม่มีความกตัญญูต่อแผ่นดิน และบิดามารดาของตน….”
ค้อเหียนตงก็เชื่อฟังคำของเปาบุ้นจิ้น เล่าเรียนต่อไปจนสอบไล่หนังสือได้ประโยคชั้นกือหยิน ทำราชการเป็นขุนนางมียศขึ้นตามลำดับ เปาบุ้นจิ้นจึงให้เพื่อนข้าราชการ เป็นเฒ่าแก่ไปขอบุตรของพวกแซ่ซุ่ย มาแต่งงานเป็นภรรยาค้อเหียนตงในที่สุด
คดีเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ถือศีลกินเจแต่ยังประพฤติชั่วนั้น ก็ได้มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ถ้าไม่ได้ท่านเปาบุ้นจิ้น ทำอุบายให้ปีศาจและเทวฑูตปลอม ไปหลอกหลวงจีนผู้ทำชั่ว จนถึงต้องสารภาพแล้ว ค้อเหียนตงก็คงจะต้องเสียทั้งภรรยา และต้องตายอยู่ในคุกเสียเป็นแน่แท้.
วารสารสยามอารยะ
ธันวาคม ๒๕๓๙
เล่าเซี่ยงชุน