เปาบุ้นจิ้น

เปาบุ้นจิ้น ตอน เจ้าบ่าวจอมซวย

เปาบุ้นจิ้น
เปาบุ้นจิ้น

เปาบุ้นจิ้น ตอน เจ้าบ่าวจอมซวย ในกาลครั้งหนึ่งท่าน เปาบุ้นจิ้น ถือรับสั่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เป็นข้าหลวงไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อเดินทางมาถึงเมืองเบงปอหู และพักที่ตำบลเท่งไฮ้กุ้ย เจ้าเมืองและคณะกรมการเมือง ออกไปต้อนรับตามธรรมเนียมแล้ว จึงนำคดีความที่ยังค้างคาอยู่ มาให้ เปาบุ้นจิ้นพิจารณาตัดสิน

ในคำฟ้องนั้นมีเรื่องราวอยู่ว่าแต่เดิม แฮเจง กับ โค้วคั้ว เป็นขุนนาง และเป็นมิตรสหายกัน แฮเจงมีบุตรชายชื่อ เชียงสี โค้วคั้วมีบุตรหญิงชื่อ กุ้ยเง็ก แฮเจง ได้จัดเฒ่าแก่มาสู่ขอนางกุ้ยเง็ก ให้เป็นภรรยาของเชียงสี ตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกัน โดยแฮเจงให้กำไลทองคำคู่หนึ่งเป็นของหมั้น โค้วคั้วก็ตอบแทนด้วยปิ่นประดับเพ็ชร ต่อมาเมื่อบุตรของทั้งสองเติบโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว แฮเจงก็ถึงแก่ความตายไปส่วนเชียงสีก็ยากจนลง ไม่มีทรัพย์สินเงินทองสิ่งของจะแต่งงานตามประเพณี จึงบอกเลิกการหมั้นเสีย โค้วคั้วจึงประกาศว่า ถ้าเชียงสีไม่มีเงินถึงร้อยตำลึงและสิ่งของมาตบแต่งตามธรรมเนียม พ้นกำหนดสามปีแล้ว มีผู้ใดมาขอบุตรสาวก็จะยกให้แก่ผู้นั้น

นางกุ้ยเง็กมีความเมตตาอาลัยในเชียงสี จึงให้ นางชิวเฮียง สาวใช้ไปบอกนัดเชียงสี ให้ไปรับเงินทองสิ่งของที่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน ในเวลากลางคืนวันหนึ่ง เพื่อเป็นทุนในการแต่งงาน เชียงสีไม่ได้เอาแต่ของกลับฆ่านางชิวเฮียง ให้ถึงแก่ความตายด้วย

เจ้าเมืองจึงให้พนักงานไปคุมตัวเชียงสีมาสอบสวน เชียงสีก็ให้การว่า เดิมบิดามารดาได้หมั้นหมายนางกุ้ยเง็กไว้เพื่อจะให้เป็นภรรยานั้นเป็นความ จริง แต่เมื่อบิดาของตนตายลง ตนเองก็มีแต่ความยากจน ไม่สามารถจัดหาเงินทองข้าวของมาทำพิธีแต่งงานตามประเพณีได้ บิดาของนางกุ้ยเง็กจึงไม่ยอมยกให้ ต่อมานางชิวเฮียงได้มาหาแล้วแจ้งว่า นางกุ้ยเง็กมีความสงสารตนยิ่งนัก หวังจะได้เป็นสามีภรรยาร่วมสุขร่วมทุกข์กัน แต่บิดาประกาศว่าถ้าพ้นกำหนดสามปีไปแล้ว จะยกนางกุ้ยเง็กให้แก่ผู้อื่น นางกุ้ยเง็กก็ไม่ลืมคำมั่นสัญญา จึงให้นางชิวเฮียงมาบอกว่าอย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย ค่ำวันพรุ่งนี้ขอเชิญให้ตนเองไปหาที่สวนดอกไม้หลังบ้านเวลาสองยาม จะให้เงินทองสิ่งของที่จะใช้ในการแต่งงานวิวาหมงคลตามประเพณี แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาตนไปตามนัด ก็พบนางชิวเฮียงนอนตายตัวแข็งอยู่ จึงรีบกลับมาบ้านตน โดยไม่รู้ว่านางชิวเฮียงตายด้วยเหตุอันใด ส่วนตนเองมิได้เกี่ยวข้องในการตายของนางแต่อย่างใด ขอได้พิจารณาโดยยุติธรรมด้วยเถิด

เจ้าเมืองก็ถามโค้วคั้วว่า ที่จำเลยแก้มาเป็นจริงหรือไม่ โค้วคั้วก็ให้ถ้อยคำเพิ่มเติมว่า นางกุ้ยเง็กผู้บุตรีให้นางชิวเฮียงนำเงินไปให้เชียงสีถึงร้อยตำลึงเศษ กับทองคำเป็นรูปพรรณต่างหาก เมื่อพบเห็นนางชิวเฮียงตายอยู่ในสวน และเงินทองหายไป จะเป็นผู้ใดฆ่า

เจ้าเมืองจึงกล่าวแก่นางกุ้ยเง็กว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นบิดาอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นสามี จงเบิกความไปตามจริง นางกุ้ยเง็กก็ให้การว่า เดิมบิดามารดาได้รับคำมั่นสัญญาไว้ต่อกันจริง ครั้นต่อมาเชียงสีไม่มีเงินทองจะมาแต่งงานได้ บิดาก็ไม่ยอมยกให้ ตนจึงบอกแก่บิดาว่า จะกระทำดังนั้นหาควรไม่ เพราะได้รับคำสั่นสัญญาไว้ต่อกัน แม้จะยากจนประการใดตนก็จะไม่ว่า ซึ่งบิดาจะมาละทิ้งความสัตย์เสียเช่นนี้ ก็จะเป็นที่ติเตียนของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายทั่วโลก บิดาก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมว่าถ้าไม่มีเงินร้อยตำลึง และสิ่งของตามธรรมเนียมแล้ว เป็นอันไม่ยอมยกให้เด็ดขาด

ตนจึงแอบลักเงินทองสิ่งของต่าง ๆ ซ่อนไว้ แล้วสั่งให้นางชิวเฮียงซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิท ไปเชิญตัวเชียงสีมารับเอาเงินทองสิ่งของ เพื่อนำไปใช้ในการแต่งงาน พอถึงคืนวันนัดตนได้ยินเสียงเชียงสีมาร้องเรียกอยู่ที่ประตูสวนดอกไม้หลัง บ้าน ตนก็ให้นางชิวเฮียงถือห่อสิ่งของกับเงินทอง ออกไปให้เชียงสีตามนัด

แต่พอรุ่งขึ้นเวลาเช้า ผู้คนบ่าวไพร่ที่อยู่ในบ้านไม่เห็นนางชิวเฮียง มารับใช้การงานตามปกติ จึงไปเที่ยวหาก็พบศพนางชิวเฮียงนอนตายอยู่ริมประตูสวนดอกไม้ จึงมาแจ้งความแก่บิดา ซึ่งบิดาก็มีความสงสัยว่านางชิวเฮียงทำความผิดข้อใด ตนจึงตีจนตายเช่นนี้ และคาดคั้นจะเอาความจริง นางจึงยอมรับกับบิดาว่าได้ใช้ให้นางชิวเฮียงไปติดต่อกับเชียงสี มารับเงินทองสิ่งของเป็นทุนในการแต่งงาน แต่ไม่คิดเลยว่าเชียงสีจะเป็นผู้ร้ายใจฉกรรจ์ถึงแก่ฆ่าคนได้ บิดาจึงมาแจ้งความให้เจ้าเมืองชำระ

เจ้าเมืองได้ฟังนางกุ้ยเง็ก เบิกความตามจริงดังนั้น ก็สรุปคดีลงว่า คำกล่าวหากับคำให้การและพยาน ก็รับกันทั้งสิ้นแล้ว เชียงสีจะปฏิเสธว่ามิได้ฆ่านางชิวเฮียงได้อย่างไร เชียงสีก็ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า คำใดที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็เป็นความจริงทั้งสิ้น แต่ข้อที่นางชิวเฮียงรับเอาเงินทองสิ่งของมาให้ ก็จัดว่าเป็นผู้มีคุณ แล้วตนจะกลับประทุษร้ายได้อย่างไร และย้ำในคำให้การว่า

“……ขอท่านได้พิจารณาแต่โดยใจเป็นกลาง ยุติธรรมแท้ก่อน ถ้าท่านจะลงความเห็นอยู่ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ฆ่านางชิวเฮียงผู้มีคุณแล้ว ก็จัดว่าเป็นเวรกรรมของข้าพเจ้าที่ได้ทำไว้แต่ชาติก่อน มาตามสนอง ข้าพเจ้าจะทำอะไรได้ หากจะให้เป็นไปโดยยถากรรม…..”

เจ้าเมืองจึงตัดสินพิพากษาให้ประหารชีวิตเชียงสี และให้จองจำไว้ในคุก รอเวลาที่จะได้รับอนุญาตจากเมืองหลวง ตั้งแต่ถูกฟ้องจนบัดนี้ เชียงสีได้ถูกจำคุกอยู่ประมาณสามปีแล้ว

ท่านเปาบุ้นจิ้นได้ตรวจดูคำกล่าวหา คำให้การ ของโจทก์จำเลย และพยานคนกลางแล้ว ก็มีความสงสัย จึงให้เรียกตัวเชียงสีมาสอบสวนเพิ่มเติมว่า การที่นางกุ้ยเง็กให้นางชิวเฮียงมานัดนั้น ความข้อนี้รู้กันแต่สามคนเท่านั้นหรือว่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ต่ออีกบ้าง เชียงสีก็นึกขึ้นมาได้ จึงคำนับแล้วแจ้งความว่า

“…..ข้าพเจ้าเป็นผู้ยากจน ครั้นนางกุ้ยเง็กบอกให้เงินทองแก่ข้าพเจ้าดังนั้น ก็มีความยินดี ข้าพเจ้าจึงไปบอกแก่ หลีเสียนหู่ ผู้เพื่อนรักของข้าพเจ้า หลีเสียนหู่จึงเชิญข้าพเจ้าไปเสพสุราที่บ้าน..แล้วก็นอนหลับอยู่ในเรือนของ หลีเสียนหู่ ครั้นข้าพเจ้าสร่างเมาได้สติแล้ว จึงไปยังสวนดอกไม้หลังบ้านนางกุ้ยเง็ก จึงได้เห็นศพนางชิวเฮียงนอนตายอยู่ ข้าพเจ้าจึงกลับไปบ้าน เหตุการณ์เป็นไปดังนี้ จึงได้ตกหนักอยู่แก่ข้าพเจ้า แจ้งอยู่ในคำให้การของข้าพเจ้านั้นทุกประการแล้ว ขอท่านผู้มีแก้วตาปัญญาคุณเป็นที่พึ่งพิง พิจารณาโดยยุติธรรม…..”

เปาบุ้นจิ้นก็ให้เจ้าเมืองนำเชียงสีไปขังไว้อย่างเดิม และสั่งระงับคดีนี้ไว้ก่อน แล้วใช้ให้ชาวเมืองที่มีกิริยาสุภาพเรียบร้อยไปเกลี้ยกล่อมชักชวนให้ หลีเสียนหู่ มารู้จักคุ้นเคยกับเปาบุ้นจิ้น จนสนิทสนมกันเป็นเวลาประมาณครึ่งปี

อยู่มาวันหนึ่งเปาบุ้นจิ้นจึงขอร้องให้หลีเสียนหู่ ช่วยหาซื้อทองรูปพรรณอย่างเก่าเพื่อจะเอาไปหมั้นแต่งภรรยา หลีเสียนหู่ก็รับปากว่าจะช่วยไปหาซื้อมาให้ และอีกไม่นานก็นำเอาทองรูปพรรณมาให้เปาบุ้นจิ้น คือกำไลทองคำประดับเพชรพลอยสองคู่ โถแป้งทำด้วยทองคำหนึ่งโถ กระจกบานลับแลทำขอบด้วยทองคำหนึ่งบาน

เปาบุ้นจิ้นจึงให้พนักงานไปตามตัวนางกุ้ยเง็กกับบิดามารดา พร้อมกับเบิกตัวเชียงสีออกจากเรือนจำมาดูสิ่งของที่หลีเสียนหู่นำมาให้ นางกุ้ยเง็กก็จำได้ว่าเป็นของที่ฝากนางชิวเฮียงนำมาให้แก่เชียงสี และยังมีเงินอีกร้อยตำลึง กับเสื้อกางเกงแพรอย่างดีอีกด้วย

เปาบุ้นจิ้นก็ซักถามหลีเสียนหู่ซึ่งยอมจำนนต่อหลักฐานของกลาง จึงยอมสารภาพว่า เมื่อรู้ความลับของเชียงสีอันเป็นเพื่อนสนิทแล้ว ก็ชวนไปเสพสุราแสดงความยินดีที่บ้าน แล้วเอายาเบื่อเจือลงในสุราให้เชียงสีกิน พอเชียงสีนอนหลับสนิทไปแล้ว ตนจึงปลอมตัวไปยังสวนของนางกุ้ยเง็ก และร้องเรียกนางชิวเฮียง แต่เมื่อนางชิวเฮียงได้เอาสิ่งของเงินทองออกมาพบแล้ว รู้ว่าไม่ใช่เชียงสีก็ร้องขึ้น ตนจึงชกนางชิวเฮียงล้มลง แล้วเอาเท้ากระทืบหน้าอกจนถึงแก่ความตาย แล้วก็หอบเอาของมีค่ากลับมาบ้าน ทำเป็นนอนหลับเคียงคู่กับเชียงสี

ดังนั้นเมื่อเชียงสีสร่างฤทธิ์ยาและสุราตื่นขึ้น คิดได้ว่านัดไว้กับนางชิวเฮียง จึงรีบไปยังที่นัด ก็พบแต่ศพของนางชิวเอียง ซึ่งนอนตายจนร่างกายแข็งไปแล้ว

เปาบุ้นจิ้นจึงตัดสินให้ประหารชีวิตหลีเสียนหู่ และปล่อยตัวเชียงสีให้พ้นโทษ เชียงสีจึงได้แต่งงานกับนางกุ้ยเง็กสมความปรารถนา

เจ้าบ่าวจอมซวยของเรา ที่ต้องติดคุกโดยไม่มีความผิดอยู่ตั้งสามปี ก็สามารถหลุดออกมาแต่งงานได้ ก็ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมของท่านเปาบุ้นจิ้นดังนี้.

นิตยสารโล่เงิน
มีนาคม ๒๕๓๙

เล่าเซี่ยงชุน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *