เปาบุ้นจิ้น ตอน รักแล้วไม่แคล้วกัน กาลครั้งนั้น เปาบุ้นจิ้น ได้เป็นข้าหลวงพิเศษเดินทางไปตรวจราชการบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ มาถึงเมืองเตี้ยจิวบู ก็ได้รับคำฟ้องร้องของ ติวสือเหลง ขุนนางเก่าเคยรับราชการในตำแหน่งเทียนเจ่งอยู่ที่เมืองน่ำเกีย มีใจความว่า
เมื่อวันขึ้นสองค่ำเวลาประมาณสองยามเศษ มีผู้ร้ายลอบเข้าไปในบ้านได้ฆ่า นางตั๋นกุ้ย สาวใช้ของ นางเลี่ยงเง็ก ผู้เป็นบุตรสาว ถึงแก่ความตาย แล้วก็เก็บเอาทรัพย์สินเงินทองไปหลายสิ่งหลายอย่าง ดังรายการที่แจ้งมาแล้ว
ต่อมาได้ให้คนใช้ไปเที่ยวสืบเสาะตรวจดูตามโรงร้านต่าง ๆ ได้กำไลทองคำของกลางซึ่ง อ๋องเฉียวตั๋ง เอามาขายไว้หนึ่งอัน ซึ่งยืนยันว่าอ๋องเฉียวตั๋งนั้นเป็นผู้ร้าย จึงขอได้เรียกตัวมาพิจารณา ตามพระราชกำหนดกฎหมาย และทางยุติธรรมด้วย
ท่านเปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการไปตามตัวอ๋องเฉียวตั๋ง มาไต่สวนตามข้อหา แต่อ๋องเฉียวตั๋งให้การปฏิเสธ
เปาบุ้นจิ้นจึงว่า ถ้าไม่ยอมรับว่าได้ฆ่านางตั๋งกุ้ยตาย แล้วเอากำไลทองคำของกลางนั้นมาจากไหน จงให้การไปตามความสัตย์จริง ถ้าอำพรางไว้จะทำโทษให้ถึงสาหัส
อ๋องเฉียวตั๋งก็เลยให้การอย่างยืดยาว ท้าวความตั้งแต่ตนเองก็ยังไม่เกิด ซึ่งพอจะเรียบเรียงได้ดังนี้
เมื่อสิบหกปีมาแล้วบิดาของอ๋องเฉียวตั๋งชื่อ อ๋องจือสิน ได้เป็นเพื่อนรักกับติวสือเหลง ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ เมื่อครั้งที่ทั้งสองได้เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบไล่เข้ารับราชการ นั้น ภรรยาของอ๋องจือสิน กับภรรยาของติวสือเหลง ต่างก็มีครรภ์ใกล้กำหนดคลอด
ทั้งสองจึงตกลงกันว่า ถ้าบุตรของตนทั้งสองฝ่าย เป็นชายหรือเป็นหญิงทั้งคู่ เมื่อโตขึ้นจะให้เป็นพี่น้องกัน แต่ถ้าเป็นบุตรชายกับหญิง ก็จะให้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน
ครั้นถึงเมืองหลวง ติวสือเหลงสอบได้ ก็เข้ารับราชการเป็นนายอำเภอ แต่อ๋องจือสิน สอบตก ต้องกลับมาอยู่บ้านเดิม
นางหลีสี ภรรยาของติวสือเหลง คลอดบุตรเป็นหญิง เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนสาม ปีมะโรง เวลาย่ำค่ำ
ส่วน นางงุ่ยสี ภรรยาของอ๋องจือสินก็คลอดบุตรเป็นชายคือตัวจำเลยนี้ ซึ่งเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่เป็นเวลาสองโมงเช้า
อีกสองเดือนต่อมาติวสือเหลงก็วานให้ เล่าเป๊กเหลียน เพื่อนรักอีกคนหนึ่งเป็นเฒ่าแก่ จัดแหวนเพ็ชรวงหนึ่งให้แก่บุตรชายของอ๋องจือสินเป็นของหมั้น และอ๋องจือสินก็จัดกำไลหยกคู่หนึ่ง เป็นของหมั้นแก่บุตรสาวของติวสือเหลงด้วย
ต่อมาอ๋องจือสินได้ไปสอบไล่อีกสองครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แม้จะมีมานะทนรับราชการเป็นผู้น้อยอยู่ที่เมืองสงกัง แต่ต่อมาอีกไม่นานก็ป่วยถึงแก่ความตายไป และได้ฝากฝังภรรยากับ บุตรชายไว้แก่ติวสือเหลง
ซึ่งติวสือเหลงก็ยินดีอุปการะนางงุ่ยสีและอ๋องเฉียวตั๋งเป็นอย่างดี แต่ อ๋องเฉียวตั๋งไม่อาจจะทิ้งมารดาไปเรียนหนังสือได้ จึงขัดสนยากจนลงเป็นลำดับ
จนกระทั่งอ๋องเฉียวตั๋งอายุได้สิบหกปี ติวสือเหลงเป็นขุนนาง ตำแหน่งเทียนเจ่งที่เมืองน่ำเกีย ได้ลาออกจากราชการมาอยู่บ้านเดิม อ๋องเฉียวตั๋งจึงขอร้องให้เล่าเป๊กเหลียนผู้เคยเป็นเฒ่าแก่ ไปเจรจาขอแต่งงานกับนางเลี่ยงเง็ก
แต่ติวสือเหลงเห็นว่าฝ่ายชายเป็นคนยากจนไม่มีเงินทองก็คิดรังเกียจ จึงให้จัดเงินทองสิ่งของมาแต่งงานตามธรรมเนียม ให้สมเกียรติของลูกข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ อ๋องเฉียวตั๋งไม่มีเงินทองตามที่เรียกร้อง จึงต้องรออยู่
วันหนึ่งอ๋องเฉียวตั๋งเดินผ่านไปทางสวนดอกไม้ หลังบ้านนางเลี่ยงเง็ก ก็มีสาวใช้ชื่อนางตั๋นกุ้ยมาเชิญให้เข้าไปในสวน แล้วก็ได้พูดคุยกับนางเลี่ยงเง็ก นางมีความสงสารอ๋องเฉียวตั๋ง จึงว่า
“……..บิดาของข้าพเจ้ากับบิดาของท่าน ก็ได้ให้คำมั่นสัญญากันไว้ว่า จะให้ท่านกับข้าพเจ้าอยู่กินด้วยกัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมีความเมตตาอาลัยในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านจงอุตสาหะเรียนหนังสือในตระกูลกวี ให้มีชื่อเสียงปรากฎไว้ในแผ่นดิน ข้าพเจ้ากับท่านคงจะได้อยู่กิน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปกว่าจะหาชีวิตไม่…..”
อ๋องเฉียวตั๋งก็ตอบว่า
“…….บิดามารดามีคำมั่นสัญญาไว้ต่อกันนั้นก็จริงแล้ว มาบัดนี้บิดาของข้าพเจ้าถึงแก่กรรมล่วงลับไปเสียแล้ว ตัวข้าพเจ้าก็อนาถายากจน ชั้นแต่เสื้อกางเกงจะบริโภคนุ่งห่มก็ไม่เต็มภาคภูมิ เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจมาจัดการวิวาหมงคล จึงได้รอรั้งไว้โดยความเจียมตัวว่าเป็นคนอนาถา…..”
นางเลี่ยงเง็กก็ตั้งใจจะอุปถัมภ์อ๋องเฉียวตั๋ง จึงนัดให้ไปหาเวลาค่ำจะได้มอบสิ่งของเงินทองให้ อ๋องเฉียวตั๋งก็ลาไปก่อน พอถึงเวลาประมาณสองยามก็กลับมาอีก นางตั๋นกุ้ยก็เปิดประตูสวนรับเข้าไปหานางเลี่ยงเง็ก
นางก็เชิญให้ร่วมโต๊ะเสพสุรา พูดจาสนทนากันด้วยความรักใคร่ แต่นางเลี่ยงเง็กบอกว่า
“…..ข้าพเจ้านัดให้ท่านมาในวันนี้ ประสงค์จะให้เงินทองเสื้อผ้าแก่ท่านไปใช้สอยก่อน และจะได้ให้เฒ่าแก่มานัดการมงคล แล้วท่านกับข้าพเจ้าจึงจะเป็นสามีภิริยากันต่อไปภายหน้า จึงจะสมควรแก่เราท่าน ที่เป็นบุตรผู้มีบิดามารดาด้วยกัน…..”
อ๋องเฉียวตั๋งจึงเกรงใจไม่กล้าล่วงเกิน แม้นางเลี่ยงเง็กจะเมาสุราจนม่อยหลับไป
พอใกล้สว่างนางเลี่ยงเง็กตื่นขึ้นมาล้างหน้า แล้วจึงได้มอบแพรอย่างดีสามไม้ เงินสามลิ่มสายสร้อยกำไลทองคำหนึ่งคู่ ให้แก่อ๋องเฉียวตั๋ง บอกว่าให้เอาไปใช้สอยก่อน ส่วนเงินทองสิ่งของที่จะแต่งงานนั้น จะจัดหาให้ภายหลัง
ตั้งแต่นั้นอ๋องเฉียวตั๋งก็แวะเวียนไปหานางเลี่ยงเง็กอีกหลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้หลับนอนด้วยกันประมาณสิบห้าวัน
พอดีมารดาอ๋องเฉียวตั๋งไม่สบาย อ๋องเฉียวตั๋งต้องอยู่ดูแลมารดา คืนนั้นจึงไม่ได้ไปหานางเลี่ยงเง็ก
พอรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่า นางตั๋นกุ้ยถูกฆ่าตาย และคนร้ายได้เก็บทรัพย์สินสิ่งของเอาไปเป็นอันมาก อ๋องเฉียวตั๋งจึงไม่กล้าไปหานางเลี่ยงเง็กอีก
ต่อมานางงุ่ยสีมารดาป่วยหลายวันไม่มีค่ายา อ๋องเฉียวตั๋งจึงเอากำไลทองคำที่นางเลี่ยงเง็กให้นั้น ไปขายให้ร้านทองเสียข้างหนึ่ง พอดีคนใช้ของติวสือเหลงจำได้ว่าเป็นของนางเลี่ยงเง็ก จึงขอยืมไปให้นายดู ติวสือเหลงจึงมาฟ้องร้องคดีนี้ ซึ่งตนเองมิได้รู้เห็นเรื่องการตายของนางตั๋นกุ้ยเลย
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังคำให้การของอ๋องเฉียวตั๋งแล้วก็คาดคั้นว่า ถ้าไปสืบกับนางเลี่ยงเง็กแล้ว เขาไม่รับตามคำที่อ้างจะว่าประการใด อ๋องเฉียวตั๋งก็ยังยืนยันอยู่ว่า
“…..ถ้าสืบที่นางเลี่ยงเง็กเขาไม่รับ ไม่สมคำให้การของข้าพเจ้าแล้ว ก็แล้วแต่ท่านจะเมตตา เพราะเป็นความจริงอย่างนั้น ข้าพเจ้าจึงกล้าอ้าง…..”
เปาบุ้นจิ้นก็ให้นักการไปตามตัวนางเลี่ยงเง็ก มาสอบถามเป็นคนต่อไป
เมื่อนางเลี่ยงเง็กมาศาลแล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ถามว่า นางมีความสัมพันธ์กับอ๋องเฉียวตั๋งตามคำให้การนั้นหรือไม่
นางเลี่ยงเง็กมีความละอายในการกระทำของตน จึงไม่กล้าตอบ ได้แต่หมอบก้มหน้านิ่งอยู่
เปาบุ้นจิ้นถามซ้ำถึงสามครั้ง ก็ไม่ยอมตอบ เปาบุ้นจิ้นโกรธจึงสั่งให้นักการ เอาตัวอ๋องเฉียวตั๋งมาเฆี่ยนเสียสี่สิบทีก่อน แล้วจึงค่อยถามต่อ
พอจะลงมือตี อ๋องเฉียวตั๋งก็ร้องไห้รำพันว่า
“……เรากับเจ้าก็ได้ร่วมรักทำสัตย์สาบานต่อกันไว้ ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจนตลอดชีวิต เจ้าจึงได้ให้สิ่งของเงินทองไปแก่เรา มาบัดนี้เกิดความด้วยอ้ายผู้ร้าย ลอบเข้าไปฆ่านางตั๋นกุ้ยตาย ตัวข้าพเจ้าต้องรับอาญาแทนอ้ายคนร้าย ถึงตัวข้าพเจ้าจะต้องตายโดยความซื่อสัตย์ ก็ไม่คิดเสียดายแก่ชีวิตแล้ว แต่มาห่วงด้วยมารดาเป็นคนชรา อยู่ภายหลังจะได้ความลำบากยากแค้น ไม่มีใครจะอุปถัมภ์เท่านั้น……”
นางเลี่ยงเง็กก็ร้องไห้ด้วยความเมตตาสงสารอ๋องเฉียวตั๋ง จึงคุกเข่าคำนับเปาบุ้นจิ้น แล้วยอมให้การตามจริงซึ่งพอจะจับใจความได้ว่า
วันที่บิดามารดาของนางปรึกษากันถึงเรื่องอ๋องเฉียวตั๋งนั้น นางแอบฟังอยู่หลังฉาก บิดาบอกว่า
“…..บุตรของเราอายุก็เจริญมากขึ้นเป็นสาวแล้ว เดิมได้รับคำมั่นสัญญาไว้ว่าจะให้อ๋องเฉียวตั๋ง..อ๋องเฉียวตั๋งมีความเจียม ตัวว่ายากจนไม่มีสิ่งใดจะมาแต่งงาน ถ้าไม่มาแต่งแล้วมีบุตรขุนนางผู้อื่นมาขอ เราจะยกให้แก่ผู้อื่นเสีย…..”
มารดาก็ว่า
“…ความยากจนไม่มีเงินทอง แต่มีความเพียรเล่าเรียนหนังสือ มีคุณเป็นประโยชน์แก่ราชการแล้ว ผู้นั้นจะตกไปอยู่ทิศานุทิศก็ไม่เป็นคนต่ำช้า ประการหนึ่งเราก็ได้สัญญาไว้แก่ อ๋องจือสิน ผู้บิดาของอ๋องเฉียวตั๋งไว้แต่เดิม ถ้าเราบิดพริ้วทำลืมคำสัญญาเสีย ก็ได้ชื่อว่าเราเป็นผู้เสียสัตย์ จะเป็นที่ติเตียนของเทวดาและมนุษย์ หาควรไม่…”
นางเลี่ยงเง็กจึงคิดอยู่ในใจว่า แม้บิดามารดาจะยกให้ผู้อื่นต่อไปจริง จะขอตายเสียดีกว่าที่จะอยู่เป็นมนุษย์ต่อไป เพราะอายแก่เขาที่จะขึ้นชื่อว่า เป็นหญิงม่ายขันหมาก
ต่อมาวันหนึ่งนางได้เห็นอ๋องเฉียวตั๋ง เดินผ่านมาริมสวนดอกไม้ เห็นมีลักษณะงาม แต่นุ่งห่มเป็นคนอนาถาไม่สะอาด นางมีจิตคิดสงสาร จึงให้นางตั๋นกุ้ยสาวใช้ไปเชิญให้มาพบปะเจรจากัน จนถึงขั้นสุดท้ายตามที่อ๋องเฉียวตั๋งให้ถ้อยคำทุกประการและได้ย้ำว่า เมื่อผู้ร้ายเข้าไปฆ่านางตั๋นกุ้ยนั้น แสงไฟก็ส่องสว่างได้เห็นตัวผู้ร้าย ว่ามิใช่อ๋องเฉียวตั๋งแน่นอน แต่จำหน้าไม่ได้ ส่วนอ๋องเฉียวตั๋งจะได้เป็นผู้ร้ายฆ่านางตั๋นกุ้ยนั้น หามิได้
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังนางเลี่ยงเง็กให้การตรงกับอ๋องเฉียวตั๋ง จึงให้ปล่อยตัวอ๋องเฉียวตั๋งเสีย อ๋องเฉียวตั๋งก็มาคุกเข่าคำนับเปาเล่งถู อยู่เคียงกับนางเลี่ยงเง็ก นางเห็นมวยผมของอ๋องเฉียวตั๋งหลุดลุ่ย ก็ช่วยเกล้าให้ใหม่
ติวสือเหลงเห็นดังนั้นก็ทนไม่ได้ โกรธบุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง จึงด่าว่ากระทำเช่นนี้ บิดาได้ความอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก ช่างไม่มีความละอายและเกรงกลัวบิดามารดาเลย
เปาบุ้นจิ้นจึงเกลี้ยกล่อมให้ติวสือเหลง เห็นความจริงว่าได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าอ๋องเฉียวตั๋งไม่ได้เป็นผู้ร้าย และไหน ๆ ทั้งสองคนก็ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว จึงควรจะจัดการตบแต่งให้อยู่กินด้วยกันเสียเถิด จะได้ไม่เป็นคนเสียสัตย์
ติวสือเหลงก็แย้งว่าต้องชำระให้ได้ตัวผู้ร้ายฆ่านางตั๋นกุ้ยเสียก่อน จึงจะจัดการแต่งงานให้
เปาบุ้นจิ้นก็ปล่อยตัวทุกคนกลับบ้านไป แล้วไต่ถามเจ้าหน้าที่ในเมืองนี้ ว่ามีผู้ใดเป็นผู้ร้ายตัดช่องย่องเบาอยู่บ้าง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ามีอยู่คนหนึ่งชื่อ เซ้งหยิน ซึ่งเคยตัดช่องย่องเบาชาวบ้าน เขาจับตัวได้ชำระเป็นสัตย์ แล้วสักเป็นตัวอักษรไว้ด้วยหมึกที่บ่า ชื่อและแซ่ยังปรากฎ อยู่ในสารบบบัญชี
เปาบุ้นจิ้นจึงให้ไปตามตัวมาไต่สวน
เซ้งหยินก็ให้การปฏิเสธ เปาบุ้นจิ้นจึงว่าถ้ารับเสียโดยดีแล้ว โทษทัณฑ์ก็พอจะลดให้เบาบางลงได้บ้าง แต่ถ้าไม่รับแล้วภายหลังเป็นสัตย์ จะต้องทำโทษเต็มตามกฎหมาย เซ้งหยินก็ให้การว่า
“……แต่เดิมนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้ร้าย เที่ยวตัดช่องย่องเบาจริง มาบัดนี้ข้าพเจ้ามีความเข็ดหลาบ กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน มิได้ประพฤติความชั่วอีกเช่นแต่ก่อนแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ฆ่านางตั๋นกุ้ย และมิได้เก็บเอาทรัพย์สมบัติ เงินทองของเจ้าเรือนไปเลย…..”
เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้เฆี่ยนเพื่อขู่จะให้รับ แต่บังเอิญมองเห็นลูกกุญแจของเซ้งหยินห้อยอยู่ที่เอว จึงให้นักการแก้เอามาพิจารณาดู แล้วก็สั่งให้นักการไปค้นหาของกลางที่บ้านเซ้งหยิน พร้อมกับบอกอุบายให้ด้วย
นักการไปถึงบ้านเซ้งหยิน ก็บอกกับภรรยาว่าเซ้งหยินผู้สามียอมรับเป็นสัตย์แล้ว จึงให้ลูกกุญแจมาไขเอาของกลาง ที่เก็บไว้ในหีบส่งไปที่ศาล
ภรรยาของเซ้งหยินสำคัญว่าจริง จึงนำนักการเข้าไปในห้อง มีหีบอยู่สองใบ นักการก็เอาลูกกุญแจไขดู เห็นมีเงินทองสิ่งของมากมาย จึงนำมาให้เปาบุ้นจิ้นพิจารณา
เปาบุ้นจิ้นก็ให้เสมียนจดรายการไว้ แล้วให้ตามตัวติวสือเหลงมาดูของกลาง ก็ปรากฎว่าเป็นทรัพย์สินของติวสือเหลงทั้งสิ้น
เซ้งหยินจึงต้องรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุนั้น ตนได้เข้าไปถึงประตูสวนดอกไม้หลังบ้านของติวสือเหลง นางตั๋นกุ้ยก็เดินมาเปิดประตูให้ แต่พอได้เห็นหน้าตนก็ตกใจวิ่งกลับเข้าบ้านและจะร้องให้คนช่วย จึงวิ่งไล่ตามไปฆ่าเสีย แล้วก็เก็บเงินทองสิ่งของติดมือไปจริง
เปาบุ้นจิ้นก็พิพากษาให้ลงโทษเซ้งหยินตามกฎหมาย
ส่วนติวสือเหลงก็ต้องจัดการแต่งงานให้อ๋องเฉียวตั๋งกับนางเลี่ยงเง็ก
ตามที่ได้ตกลงกับท่านเปาบุ้นจิ้น ผู้ทรงความยุติธรรมไว้นั้น
ทั้งสองหนุ่มสาวจึงได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน สมความปรารถนาในที่สุด.
เล่าเซี่ยงชุน